เทคนิคเตรียมตัวสอบ ก.พ. ให้ผ่านในรอบเดียว
การสมัครสอบ ก.พ. มีการจัดสอบเป็นประจำทุกปี โดยแบ่งเป็นภาค ก. คือการสมัครสอบเพื่อวัดความรู้ความสามารถทั่วไป และการสอบภาค ข. เป็นการสอบเพื่อวัดความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะตำแหน่ง แนวข้อสอบ ก.พ. ทั้งข้อสอบความรู้ทั่วไปสำหรับภาค ก.และแนวข้อสอบเฉพาะตำแหน่งภาค ข. ก็จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป ส่วนการเตรียมตัวสอบ ก.พ. ให้ผ่านฉลุย มีเทคนิค ดังนี้
1. ติดตามข้อมูลข่าวประชาสัมพันธ์ของสำนักงาน ก.พ.อย่างสม่ำเสมอ
การติดตามข้อมูลข่าวสารหรือข่าวประชาสัมพันธ์ของสำนักงาน ก.พ. นอกจากทำให้รู้กำหนดวันเปิดสอบและรายละเอียดต่าง ๆ ซึ่งโดยทั่วไปจะเปิดสอบในช่วง เดือน ก.พ. – มี.ค. ของทุกปีแล้ว ยังทำให้มีเวลาอ่านหนังสือหรือสามารถหาแนวข้อสอบ ก.พ. ในแต่ละภาคตามที่ต้องการสอบมาอ่านได้ทัน
2. หาแนวข้อสอบเก่ามาอ่าน
ในการสอบ ก.พ.สำหรับภาค ก. จะแบ่งเป็น 3 วิชา คือ ทดสอบวิชาความสามารถทั่วไป ทดสอบวิชาภาษาไทย และทดสอบวิชาภาษาอังกฤษ ส่วนภาค ข.จะเป็นการสอบวิชาเฉพาะตำแหน่ง และเป็นการสอบข้อเขียน เทคนิคการเตรียมสอบที่ช่วยให้สอบผ่านได้ฉลุย ผู้สมัครสอบแต่ละภาคจะต้องหาแนวข้อสอบเก่ามาอ่าน เช่นข้อสอบ ก.พ. 2562 หรือหาหนังสือที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่สมัครสอบภาค ข. มาอ่านและฝึกเขียน เช่น เจ้าพนักงานสาธารณสุข นายช่างไฟฟ้าปฏิบัติงาน หรือนักวิชาการเงินและบัญชีปฏิบัติการ เป็นต้น
3. รู้จำนวนข้อ ของข้อสอบ
การมีข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนข้อทั้งแนวข้อสอบ ก.พ.ภาค ก. และภาค ข. เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้สอบ เพราะการทำข้อสอบมีกำหนดระยะเวลา การอ่านและฝึกทำตัวอย่างข้อสอบ ก.พ. ทั้งภาค ก.และข. ช่วยแก้ปัญหาการทำข้อสอบไม่ทัน โดยเฉพาะการสอบภาค ข.ที่เป็นการสอบข้อเขียน
4. แบ่งเวลา อ่าน และให้คนในครอบครัวช่วยติว
การอ่านหนังสือหรืออ่านแนวข้อสอบ ก.พ.ให้เริ่มจากการอ่านผ่าน ๆ และอ่านซ้ำในแต่ละบทหลาย ๆ รอบ การทดสอบความรู้จากการอ่าน คือการให้คนในครอบครัวช่วยติว และการอ่านต้องจัดแบ่งเวลาเน้นความสม่ำเสมอ ไม่ใช้เวลามากหรือน้อยเกินไป เพราะอาจทำให้เครียดหรือขาดสมาธิในการอ่านและไม่จดจำเนื้อหา
5. ติวสอบจากศูนย์ติวและจำหน่ายคู่มือสอบ ก.พ.
การติวสอบจากศูนย์ติวและจำหน่ายคู่มือสอบ ก.พ.คือทางลัดที่เปรียบเสมือนห้องสอบ นอกจากให้ความรู้ มีสูตรหรือเคล็ดลับ มีตัวอย่างข้อสอบ ก.พ. ที่เคยใช้ในสนามสอบจริงมาให้ได้ทดลองฝึกทำแล้ว ผู้ที่ให้ความรู้ยังมีทักษะความรู้ในแต่ละวิชาโดยตรง เช่น ข้อสอบภาษาอังกฤษ ข้อสอบ ก.พ. ภาษาไทย คณิต ก.พ. เป็นต้น
เคล็ดลับอ่านหนังสือเตรียมสอบ ก.พ. อย่างไรให้สอบผ่าน
การสอบ ก.พ. (ภาค ก.) เป็นขั้นตอนแรกสำหรับการสอบบรรจุเข้ารับราชการ ซึ่งในแต่ละปีก็จะมีคนสมัครสอบเป็นจำนวนมาก ทำให้คนที่สมัครสอบจะต้องเตรียมตัวอ่ายหนังสือหรืออ่านแนวข้อสอบ ก.พ. ให้มากเป็นพิเศษ เพราะนอกจากต้องแข่งขันกับผู้สมัครสอบคนอื่น ๆ ที่เตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดี การอ่านหนังสือสอบยังเป็นการแข่งกับตัวเองเพราะเชื่อว่าใคร ๆก็คงต้องการสอบให้ผ่านตั้งแต่ครั้งแรก สำหรับเคล็ดลับการอ่านหนังสือให้สอบผ่านมีขั้นตอนที่ทำได้ไม่ยาก ดังนี้
1. เตรียมหนังสือหรือแนวข้อสอบ ก.พ. ตามกรอบเนื้อหาแต่ละวิชาตามที่ระบุในประกาศรับสมัคร
2. เมื่อได้ข้อสอบก.พ.พร้อมเฉลยข้อสอบ ก.พ. มาแล้ว ต้องบริหารเวลาหรือจัดตารางการอ่านหนังสือ ระยะเวลาในการต้องเหมาะสม เช่น กรณีเป็นวิชาที่มีความยากหรือไม่ชื่นชอบ ไม่ควรใช้เวลานานเกินไปเพราะจะทำให้รู้สึกเบื่อ ฝืนอ่าน ทำให้ไม่มีสติอ่านแล้วไม่จำ
3. การอ่านหนังสือรอบแรกเป็นการอ่านช้า ๆ เพื่อรู้ หรืออ่านผ่านๆ ให้รู้เนื้อหาในภาพรวมไปก่อนจนจบเล่ม
4. การอ่านหนังสือรอบที่สอง เป็นการอ่านเพื่อจับประเด็นและทำความเข้าใจกับเนื้อหา ต้องอ่านช้า ๆ พร้อมใช้ดินสอขีดเส้นใต้เพื่อเน้นข้อความหรือประเด็นสำคัญ รอบนี้เมื่ออ่านจบแล้วต้องสรุปประเด็นเนื้อหาได้บ้าง
5. การอ่านรอบที่สาม จะช่วยลดเวลาในการอ่านและทำให้จำได้ง่ายขึ้น เพราะเลือกอ่านเฉพาะส่วนสำคัญที่ใช้ดินสอขีดเส้นใต้ไว้เท่านั้น และต้องอ่านหลาย ๆ รอบเพื่อให้จดจำเนื้อหาส่วนสำคัญได้ทั้งหมดหรือจำได้มากที่สุด
6. หากหนังสือหรือแนวข้อสอบ ก.พ มีคำถามพร้อมเฉลย ควรทดสอบโดยทำข้อสอบ หากผลสอบออกมาอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ก็ถือว่ามีโอกาศผ่านหรือสอบได้คะแนนที่ดี แต่ถ้าผลข้อสอบออกมาไม่ดีเท่าก็จะต้องตั้งใจอ่านหรือปรับวิธีการอ่านใหม่อีกครั้ง
7. กรณีหนังสือไม่มีแนวถามตอบ อาจมีเพื่อนช่วยทำหน้าที่ติวเตอร์ ก.พ. โดยการตั้งคำถามจากเนื้อหาในหนังสือ เพื่อทดสอบความรู้ที่ได้จากการอ่าน
รู้ว่าสอบ ก.พ. มีสอบอะไรบ้าง
การสอบ ก.พ. จะมีการจัดสอบทุกปี รับทั้งคนจบการศึกษาแล้ว และคนที่กำลังศึกษาชั้นปีสุดท้าย ซึ่งสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://job.ocsc.go.th การสอบภาค ก จะเป็นด่านแรกสุดที่คนสอบข้าราชการทุกคนต้องผ่านไปให้ได้ก่อน จะข้ามไปเลเวลถัดไปอย่างภาค ข และภาค ค
รู้ว่าสอบภาค ก เขาให้คะแนนอะไรบ้าง
สอบภาค ก จะแบ่งออกเป็น 3 วิชา ได้แก่ วิชาความสามารถในการคิดวิเคราะห์, วิชาภาษาอังกฤษ และวิชาความรู้และลักษณะการเป็นข้าราชการที่ดี
1. วิชาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ (คณิตศาสตร์ + ภาษาไทย) : คะแนนเต็ม 100 คะแนน
· เป็นการทดสอบการคิดวิเคราะห์ที่มีส่วนย่อยๆ คือ การคิดวิเคราะห์เชิงภาษา (ภาษาไทย), การคิดวิเคราะห์เชิงนามธรรม และการคิดวิเคราะห์เชิงปริมาณ (คณิตศาสตร์)
· สำหรับระดับต่ำกว่าปริญญาตรีและระดับปริญญาตรี จะต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 (60 คะแนน) และระดับปริญญาโทต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 65 (65 คะแนน)
2. วิชาภาษาอังกฤษ : คะแนนเต็ม 50 คะแนน
· เป็นการทดสอบทักษะความเข้าใจภาษาอังกฤษ วัดความสามารถด้านการอ่าน, ไวยากรณ์หรือโครงสร้างประโยคเบื้องต้น และความรู้เกี่ยวกับศัพท์พื้นฐานทั่วไป
· ผู้สอบทุกระดับชั้นจะต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 (25 คะแนน)
3. วิชาความรู้และลักษณะการเป็นข้าราชการที่ดี : คะแนนเต็ม 50 คะแนน
· เป็นการทดสอบความรู้พื้นฐานการเป็นข้าราชการที่ดี ได้แก่ ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน, หลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี, วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง, หน้าที่และความรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ และจริยธรรมข้าราชการ
· ผู้สอบทุกระดับชั้นจะต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 (30 คะแนน)
เทคนิคการท่องจำการอ่านหนังสือสอบรับราชการ
1. เทคนิคการเรียน
1.1 ระหว่างการเรียน
- หากพอมีเวลาควรอ่านสรุปเนื้อหาคร่าวๆ ก่อนเรียน เปรียบเทียบกับ Course outlineเพื่อจะได้มีข้อมูลโดยสังเขปว่าอาจารย์แต่ละคนมีขอบเขตเนื้อหาการสอนอย่างไร
- ควรจดตามที่อาจารย์สอน หากมีเอกสารประกอบการเรียนก็ให้จดในลงไปในเอกสารเมื่อเวลาเอามาอ่านทบทวนจะได้ทราบความหมายได้ชัดเจน (ควรจดตามไปแม้ว่าอาจจะรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างก็ตาม แต่เมื่อเวลากลับมาอ่านจะพอเข้าใจและระลึกได้)
- ควรทำแบบฝึกหัด กรณีศึกษา รายงานต่างๆ ด้วยตนเอง (กรณีงานเดี่ยว) เพื่อจะได้ฝึกการคิด การเขียน ซึ่งจะมีประโยชน์ในการฝึกเชื่อมโยงการเขียน เวลาที่ทำข้อสอบจะสามารถทำได้ง่ายขึ้นหรือทำร่วมกับเพื่อน (กรณีงานกลุ่ม) เพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้ ทัศนคติ ความเข้าใจระหว่างกันเพราะเพื่อนแต่ละคนจะเก็บรายละเอียดได้แตกต่างกัน
- ถ้าไม่มีเหตุจำเป็น ควรเข้าเรียนทุกครั้ง เพราะการเข้าเรียนจะทำให้ได้ฟังตัวอย่างที่อาจารย์ยกมาอธิบาย จะทำให้เกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น
1.2 การอ่านหนังสือ
- ควรอ่านอย่างตั้งใจ โดยไม่ใช่การอ่านไปเรื่อยๆ หรืออ่านทุกๆ บรรทัด ควรกวาดสายตาเร็วๆเพื่ออ่านจับใจความสำคัญ จับเฉพาะประเด็นที่สำคัญๆ
- เมื่ออ่านจบแต่ละบท ควรปิดหนังสือนึกทบทวนว่า เมื่ออ่านแล้วได้เนื้อหาอะไรบ้าง สร้างมโนภาพขึ้น นึกถึงหน้ากระดาษของหนังสือที่อ่าน คิดนึกตามพร้อมกับหาเทคนิคที่จะทำให้ตนเองเข้าใจในวิธีของตนเอง
- ข้อมูลบางส่วนจำเป็นต้องท่องจำ เช่น ชื่อนักคิด นักทฤษฎี คำศัพท์ที่ควรรู้ สูตรต่างๆ ฯลฯ
- ควรอ่านหนังสือ ทุกเล่มที่อาจารย์สอน โดยอ่านเอาความเข้าใจตัววิชาว่า เราเรียนอะไร ควรจะต้องได้ความรู้อะไร นำไปใช้เพื่ออะไร
- ทำสรุปย่อในแบบฉบับที่ตนเองรู้และเข้าใจ โดยดูในประเด็นที่สำคัญที่ได้จดในห้อง ประกอบกับ Course outline โดยอาจทำเป็น Bar chart หรือ Mind map (ดูวิธีทำ Bar chart และ Mindmap ประกอบ)
- ทำความเข้าใจตัวสรุปย่อให้ลงไปอยู่ในหัวให้ได้ ในการอ่านสรุปย่อต้องอ่านคู่กับหนังสืออาจารย์ทุกเล่มทุกคน เปิดสลับกันไปกันมา
1.3 การจำ
- ควรจำเป็นภาพจะทำให้จำได้ดีกว่าการจำเป็นตัวหนังสือ
- ให้จำ Bar chart และ Mind map เหมือนภาพถ่าย เวลาจะใช้งานจะสามารถนึกเป็นภาพขึ้นในหัวได้ง่ายกว่าการจำตัวหนังสือ
- ใช้วิธีการจำแบบตัวย่อ หรือจำเฉพาะคำศัพท์ภาษาอังกฤษ จะทำให้ใช้หน่วยความจำในสมองน้อยลง แต่สามารถสร้างมโนภาพขึ้นในหัวได้ว่าตัวหนังสือหรือคำศัพท์นั้นเกี่ยวข้องกับอะไร
- วิธีทำให้จำ คือ ติวให้เพื่อน ผลัดกันติวให้กัน ใช้การติวทุกรูปแบบ ทั้งการพบปะพูดคุยกันจับกลุ่มติว ติวทางโทรศัพท์ โดยผลัดกันอธิบาย คนที่รู้แล้วจะช่วยเสริมให้เพื่อนที่ไม่รู้ ส่วนคนที่ไม่รู้จะได้รู้จุดอ่อนของตัวเองว่ายังไม่รู้ตรงไหน จะได้กลับไปทบทวนเพิ่มเติม
- เวลาอ่านหนังสือถึงประเด็นใด ให้ลองนึกทบทวนว่า ประเด็นนี้อาจารย์ยกตัวอย่างว่าอะไร จะทำให้เกิดการสร้างภาพขึ้นในหัวได้ดี
2. เทคนิคการทำ Bar Chart
1. เริ่มจาก Course outline รวมกับสรุปจากรุ่นและศูนย์ต่างๆ บวกกับที่จดจากในห้อง มาสร้างประเด็นหลักก่อน (แยกทำของแต่ละอาจารย์) สามารถเขียนสมการได้ ดังนี้ Bar Chart = Course outline + all MPA sheet + lecture
2. ใส่รายละเอียดลงในแต่ละกล่อง โดยข้อความต้องสั้น แต่ได้ใจความตามความเข้าใจมากที่สุดสามารถสื่อสารได้ง่าย มีหลักคือให้ดูหนังสือของอาจารย์เป็นหลักในการนำมาย่อความ
3. พยายามใส่ Model ของอาจารย์เนื่องจากการจำเป็นภาพจะง่ายกว่าจำเป็นตัวหนังสือ โดยต้องเชื่อมโยงกับประเด็นหลักให้ได้
4. ควรใส่หมายเลขลงไปในแต่ละกล่อง เพื่อจะได้รู้ขั้นตอนการอ่านว่าควรเริ่มตรงจุดไหนแล้วไปจุดไหนต่อไป
5. ลองอ่านดูหลายๆรอบ หากประเด็นใดไม่ชัดเจน ให้เพิ่มเติมเข้าไป การแก้ไขบ่อยๆ ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะทำแรก ๆ เนื้อหาจะยังไม่ครบถ้วน
3. เทคนิคการทำ Mind map
- ปัจจุบันมีโปรแกรมสำเร็จรูปสำหรับการทำ Mind map ขายแล้ว แม้ว่าจะช่วยทำให้การทำ Mind map ง่ายขึ้น มีสีสันสวยงาม มีตัวการ์ตูนตกแต่งเพื่อช่วยให้การจำง่ายขึ้น แต่ถ้าแพงไม่ต้องลงทุน
อาจจะเลือกใช้วิธีการทำ Bar chart แทน หรืออาจใช้เครื่องมือที่มีใน Microsoft เช่น กล่องข้อความรูปสัญลักษณ์ ลูกศร เพื่อใช้ในการเชื่อมโยงข้อมูล
- ควรทำแยกแต่ละอาจารย์เพื่อให้สามารถมองภาพรวมของอาจารย์แต่ละท่าน โดยเริ่มจากการนำ Course outline และเนื้อหาวิชาที่เรียนว่ามีหัวข้ออะไรบ้าง
- พยายามจับกลุ่ม และสร้างการเชื่อมโยงระหว่างเนื้อหาหัวข้อต่างๆ ที่อาจารย์สอน เพราะบางครั้งอาจารย์จะสอนเป็นเรื่องๆ ต้องนำจิ๊กซอว์เหล่านี้มาต่อกันให้ได้
4. เทคนิคการทำข้อสอบ
4.1 ฝึกทำข้อสอบ
- ควรหาข้อสอบเก่าๆ ย้อนหลังไม่เกิน 5 ปี มาทดลองหาคำตอบจากสิ่งที่ได้เรียนและได้อ่านมาเพื่อจะได้เป็นการทดสอบว่าเรามีความเข้าใจในเนื้อหาที่อ่านมาหรือไม่ ฝึกเขียนเพื่อสร้างความชำนาญในการเชื่อมโยงประเด็นต่างๆ การนำองค์ความรู้ (Body of Knowledge : B of K) มาใช้ จะทำให้เมื่อพบข้อสอบจริงจะสามารถเชื่อมโยงได้ง่ายและรวดเร็ว อีกทั้งจะทำให้ทราบว่าตัวเรายังบกพร่องตรงจุดไหนเพื่อจะได้ไปอ่านทบทวนให้มากขึ้น
4.2 อุปกรณ์ที่ใช้ในการสอบ
- ปากกาที่ใช้ควรเป็นสีเข้ม เช่น สีดำ ส่วนหนึ่งเพื่อช่วยให้ไม่ปวดตาเวลาที่เขียนข้อสอบนานๆและช่วยให้อาจารย์ตรวจข้อสอบของเราได้ง่ายขึ้น เพราะส่วนใหญ่อาจารย์ตรวจข้อสอบในเวลากลางคืน ก็จะทำให้อาจารย์สบายตาเวลาตรวจ และหากอยากให้เขียนได้เร็วและชัดเจน อาจเลือกใช้ปากกาเจล และควรเลือกปากกาที่ตนเองมีความถนัด ไม่ใช่เลือกรูปแบบที่ไม่มีความถนัด เมื่อต้องเร่งเขียนข้อสอบอาจจะเขียนได้ไม่คล่อง
- ไม่ควรใช้ Liquid paper เพราะจะทำให้เสียเวลามานั่งลบ มานั่งคอยให้แห้ง ซึ่งในความเป็นจริง หากมีการเขียนข้อความผิดควรใช้วิธีขีดฆ่าให้เป็นระเบียบ เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
- อาจมี Template รูปเรขาคณิต เพื่อช่วยในการวาดรูป เขียน diagram จะทำให้ใช้เวลาน้อยลงส่วนไม้บรรทัดสามารถนำเอาไปใช้ในการเน้นหัวข้อต่างๆ ก็ได้ หรือใช้เป็นตัวช่วยในการขีดฆ่าข้อความที่ไม่ใช้แล้ว
- ไม่ควรใช้ปากกาเน้นข้อความในกระดาษคำตอบ เพราะอาจจะทำให้อาจารย์ต้องใช้สายตามากขึ้น ถ้าอยากเน้นข้อความใดให้ใช้ปากกาสีแดงขีดเส้นใต้ก็พอแล้ว
4.3 ลักษณะข้อสอบ
- เป็นข้อสอบอัตนัย แยกของแต่ละอาจารย์ผู้สอน (ถ้ามีอาจารย์ 3 ท่านจะมี 3 ส่วน แต่ถ้ามี 4 ท่าน ก็อาจจะออกทั้ง 4 ท่านหรือออกเพียง 3 ท่าน) จำนวนข้อสอบต่ออาจารย์หนึ่งท่านไม่มีกฎตายตัวว่าจะมีข้อสอบกี่ข้อ อาจารย์หนึ่งท่านอาจมีข้อสอบข้อย่อย 1-2 ข้อ และในข้อย่อยจะมีหลายคำถามต้องอ่านโจทย์และคำสั่งให้ดี
- ข้อสอบส่วนใหญ่เป็นการทดสอบความสามารถในเชิงวิเคราะห์ คือ นำองค์ความรู้มาใช้ในการตอบโจทย์ มีบางครั้งเท่านั้นที่อาจารย์จะถามตรงๆ และให้ตอบตรงๆ (ต้องการแต่เนื้อ ไม่ต้องการน้ำ)
4.4 สมุดคำตอบ
- สมุดคำตอบจะมีลักษณะเป็นเล่ม เล่มหนึ่งมีจำนวน 8 หน้า ปกจะมี 3 สี คือ เขียว ชมพู และเหลือง โดยแต่ละอาจารย์จะกำหนดไว้ว่าจะต้องใช้สีอะไรสำหรับการเขียนคำตอบ ต้องระวังการเขียนคำตอบสลับอาจารย์ เพราะจะทำให้เสียเวลามากๆ ในการแก้ไข
4.5 การเขียนคำตอบ
- ควรเขียนด้วยตัวหนังสือให้มีขนาดใหญ่ เพราะอาจารย์ส่วนใหญ่ใช้เวลากลางคืนในการตรวจข้อสอบ จะช่วยให้อาจารย์อ่านได้สะดวก หากลายมืออ่านยากควรเขียนบรรทัดเว้นบรรทัด เพื่อให้อ่านได้ง่ายขึ้น
4.6 วิธีการทำข้อสอบ
- เมื่อเข้าห้องสอบควรรีบอ่านโจทย์ของแต่ละอาจารย์แล้วคิดว่าจะใช้องค์ความรู้ (Body of Knowledge : B of K) อะไรมาตอบ รีบจดสิ่งที่คิดว่าจะนำมาใช้ในการตอบลงไปในข้อสอบก่อน เพื่อที่ว่าเวลาที่เขียนคำตอบจะได้เชื่อมโยงได้เร็ว ไม่ต้องเสียเวลาคิด ควรยอมเสียเวลาประมาณ 15 นาทีในการระลึกถึงองค์ความรู้ทั้งหมดที่จะนำมาใช้ในการตอบ เพราะเมื่อเริ่มลงมือเขียนจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาคิดทบทวนอีก) โดยควรกำหนดโครงเรื่องไว้ว่าจะตอบอย่างไร เริ่มต้นจากอะไร จบลงด้วยอะไรประเด็นใดควรเป็นประเด็นหลัก ประเด็นรอง
- ควรเลือกทำข้อสอบข้อที่คิดว่าทำได้มากที่สุดก่อน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง และข้อสอบข้อที่ทำได้มากที่สุดก็จะได้เป็นตัวช่วยให้ได้คะแนนดี
- ในการอ่านโจทย์ต้องแตกประเด็นให้ได้ว่า ในโจทย์นั้นมีทั้งหมดกี่คำถาม เขียนหมายเลขกำกับไว้ทุกคำถามเพื่อกันลืม และต้องตอบให้ครบทุกประเด็นคำถาม เช่น ถ้าถามว่าเห็นด้วยหรือไม่ ก็ต้องมีคำตอบว่า เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย อย่างไร ทำไม (ต้องตอบให้ครบทุกประเด็นที่ถาม)
- วางแผนการใช้เวลาให้เหมาะสม เพราะในการสอบจะกำหนดเวลาไว้ 3 ชั่วโมง คือระหว่างเวลา18.00 – 21.00 น. ดังนั้น ควรใช้เวลาของแต่ละอาจารย์ไม่เกิน 1 ชั่วโมง เมื่อครบเวลาแล้วควรเปลี่ยนไปทำของอาจารย์ท่านอื่น อย่าใช้เวลากับข้อสอบข้อใดข้อหนึ่งนานเกินไป เพราะจะทำให้เสียโอกาสในการทำข้อสอบข้ออื่นๆ หากมีเวลาเหลือค่อยกลับมาทบทวนหรือเพิ่มเติมหรือทำข้อที่ค้างไว้เพื่อให้คำตอบนั้นสมบูรณ์ขึ้น และหาจุดบกพร่องที่ควรแก้ไข
- ต้องใช้องค์ความรู้ (Body of Knowledge : B of K) มาเป็นหลักในการตอบทุกครั้ง โดยในการตอบข้อสอบทุกข้อ ต้องเริ่มด้วยองค์ความรู้ ทฤษฎี นักคิด ต่างๆ ก่อน แล้วจึงนำองค์ความรู้นั้นมาประกอบกับการตอบโจทย์
- ในการตอบข้อสอบทุกครั้งจะต้องยกตัวอย่างประกอบคำอธิบาย เพื่อให้คำตอบนั้นมีความชัดเจนขึ้น อีกทั้งยังเป็นการแสดงให้อาจารย์เห็นว่าเรามีความเข้าใจอย่างแท้จริง ไม่ใช่การท่องมาตอบแบบนกแก้วนกขุนทอง
- เมื่อตอบข้อสอบในทุกประเด็นครบแล้ว ตอนจบสุดท้ายควรมีสรุป คือ การสรุปจากประเด็นที่เขียนมาทั้งหมดให้เป็นแบบย่อๆ อีกครั้ง
- ถ้าข้อสอบให้มีการอภิปรายถามความเห็น และจำเป็นต้องใช้คำเรียกแทนตัว ผู้ชายควรใช้ว่า“กระผม” หรือ “ผม” ส่วนผู้หญิงควรใช้ว่า “ดิฉัน” ไม่ควรใช้ว่า “ข้าพเจ้า” เพราะอาจารย์จะไม่ทราบว่าผู้ตอบข้อสอบเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
- ควรทำข้อสอบทุกข้อแม้ว่าจะมีความรู้ในเรื่องนั้นๆ ไม่มาก ควรพยายามเขียน เพราะการเขียนยังมีโอกาสให้อาจารย์ให้คะแนนบ้าง ถ้าไม่เขียนอะไรเลยอาจารย์ก็ไม่ทราบว่าจะให้คะแนนตรงไหน
- จำนวนหน้าไม่มีผลกับคะแนน การเขียนหลายเล่มแต่มีแต่น้ำ ไม่มีเนื้อ ไม่มีองค์ความรู้ก็ไม่ได้ทำให้ได้คะแนนดี ความสำคัญอยู่ที่องค์ความรู้ที่เอามาใช้ และต้องตอบให้ครบทุกประเด็น มีเกริ่นนำตอบครบ ยกตัวอย่าง มีข้อเสนอแนะ และสรุป โดยควรเขียนให้กระชับ ไม่วกวน มีเวลาไปทำของอาจารย์ท่านอื่น
4.7 คำแนะนำทั่วไป
- ควรไปถึงห้องสอบก่อนเวลาพอสมควร เพื่อลดความวิตกกังวล และให้สมองได้ผ่อนคลาย
- ควรฟังคำชี้แจงของเจ้าหน้าที่คุมสอบอย่างตั้งใจ เพราะผู้คุมสอบจะให้ข้อมูลว่าสมุดเล่มใดเป็นของอาจารย์ท่านใด (จะแยกแยะโดยใช้สีสมุด ดังนั้น ห้ามตอบสลับเล่มกันโดยเด็ดขาด) มีข้อสอบทั้งหมดกี่หน้า มีทั้งหมดกี่ข้อ ทำทุกข้อหรือให้เลือกทำ
- เน้นกลุ่มเป้าหมาย ในระหว่างการเรียนควรจับทิศทางให้ได้ว่า อาจารย์แต่ละท่านชอบแนวทางใด สนใจเรื่องใดเป็นพิเศษ หรือเป็นนักวิชาการด้านใด การตอบในแนวทางที่อาจารย์สนใจ ให้ความสำคัญจะช่วยให้ได้คะแนนดี ไม่นิยมการท่องจำ หนังสือที่จัดให้อ่านมีกี่เล่มต้องอ่าน เพราะอาจนำเนื้อหาจากหนังสือที่ให้อ่านมาถามทั้งๆ ที่ไม่ได้สอนในห้องเรียน