ส่วนที่ 3
วิชาเฉพาะตำแหน่งวิทยากร (ปฏิบัติหน้าที่ด้านการวางแผน,
ด้านการบริหารงานการจัดการทั่วไปในหน่วยงานต่างๆ)
1. ความรู้ทั่วไปทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และเหตุการณ์ปัจจุบัน
1. ความต้องการหรือความจำเป็นข้อใดไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้มนุษย์ต้องอยู่ร่วมกันเป็นสังคม
ก. พึ่งตนเองได้ตามสัญชาตญาณของสัตว์โลก
ข. ได้รับการตอบสนองด้านสังคมจิตวิทยา
ค. ถ่ายทอดวัฒนธรรมให้ชนรุ่นหลัง
ง. ได้รับการช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและกัน
ตอบ ก. สาเหตุที่ทำให้มนุษย์ต้องอยู่ร่วมกันเป็นสังคม มี 4 ประการ คือ
1) ความจำเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันและพึ่งพาอาศัยกัน
2) ความจำเป็นต้องแบ่งงานกันทำตามความถนัด
3) ความจำเป็นต้องได้รับการตอบสนองความต้องการทางชีวภาพและความต้องการทางด้านสังคมจิตวิทยา
4) ความจำเป็นในการถ่ายทอดวัฒนธรรมให้แก่คนรุ่นหลัง
2. องค์ประกอบของ “สังคม” ข้อใดเป็นกลไกด้านคุณภาพ ทำให้ผู้คนอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
ก. มีพื้นที่อาณาเขตแน่นอน ข. มีการจัดระเบียบทางสังคม
ค. มีประชากรหรือสมาชิกของสังคม ง. มีความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในสังคม
ตอบ ข. การจัดระเบียบทางสังคม สังคมจะต้องมีการวางระเบียบกฎเกณฑ์ เพื่อให้สมาชิกอยู่ร่วมกัน
อย่างสงบสุขและเป็นระเบียบเรียบร้อย สิ่งที่ช่วยจัดระเบียบสังคม คือ บรรทัดฐานทางสังคม (Social Norms) ได้แก่กฎหมายบ้านเมือง และจารีตประเพณีต่างๆ เป็นต้น
3. ข้อใดอธิบาย ผิด ความจริงเกี่ยวกับโครงสร้างทางสังคม
ก. สมาชิกในสังคมมีเป้าหมายร่วมกัน ข. มีส่วนประกอบคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง
ค. มีระเบียบกฎเกณฑ์เป็นแนวทางปฏิบัติ ง. มีการรวมกลุ่มของคนในสังคม
ตอบ ข. โครงสร้างทางสังคมจะต้องมีส่วนประกอบเปลี่ยนแปลงไปตามความเหมาะสม
4. “รูปแบบพฤติกรรมของสมาชิกในสังคม เพื่อสนองความต้องการในด้านต่างๆ ของสมาชิก เช่น
ความต้องการในด้านการศึกษา เศรษฐกิจ นันทนาการ ฯลฯ” คำอธิบายนี้หมายถึงข้อใด
ก. สถาบันสังคม ข. บรรทัดฐานทางสังคม
ค. การขัดเกลาทางสังคม ง. สถานภาพทางสังคม
ตอบ ก. สถาบันทางสังคม (Social Institution) หมายถึง รูปแบบพฤติกรรมของสมาชิกในสังคม เพื่อสนองความต้องการในด้านต่างๆ ร่วมกัน
ตัวอย่างเช่น สถาบันครอบครัวมีแบบแผนในการปฏิบัติที่สังคมยอมรับ คือ บิดา มารดา ต้องเลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนบุตรของตนด้วยความรัก เป็นต้น
5. สิ่งที่เรียกว่า “กลุ่มสังคม” สมาชิกในกลุ่มจะต้องมีลักษณะสำคัญ 3 ประการดังนี้ ยกเว้น ข้อใด
ก. มีความสัมพันธ์ระหว่างกัน
ข. มีกฎข้อบังคับและบทลงโทษเคร่งครัด
ค. มีวัตถุประสงค์ร่วมกัน
ง. มีตำแหน่ง หน้าที่ และบทบาทแตกต่างกัน
ตอบ ข. ลักษณะที่สำคัญของกลุ่มสังคม มีดังนี้
1) สมาชิกในกลุ่มมีความสัมพันธ์ระหว่างกัน หรือมีการกระทำระหว่างกันทางสังคม (Social Interaction) หมายถึง สมาชิกมีการปฏิบัติต่อกัน เช่น พูดคุยกัน ทำงานร่วมกัน ฯลฯ
2) สมาชิกในกลุ่มมีตำแหน่งหน้าที่ และบทบาทแตกต่างกัน โดยมีแบบแผนพฤติกรรมของกลุ่มที่เรียกว่า วัฒนธรรมย่อย
3) สมาชิกในกลุ่มมีความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน มีความรักความผูกพันซึ่งกันและกัน
4) สมาชิกในกลุ่มมีวัตถุประสงค์ร่วมกัน โดยกลุ่มสังคมนั้นจะต้องตอบสนองความต้องการของสมาชิกในกลุ่มได้ เช่น ชมรมผู้ปฏิบัติธรรมของวัดสวนแก้ว สมาชิกมีจุดมุ่งหมายเพื่อแสวงหาความสุขสงบในชีวิตตามแนวทางพระพุทธศาสนา ชมรมแห่งนี้จะต้องตอบสนองความต้องการของสมาชิกได้
6. ข้อใด เป็นตัวอย่างของ “กลุ่มสังคม”
ก. ฝูงชนที่มุงดูขบวนแห่นางสงกรานต์ ข. กลุ่มนักเรียนที่ยืนรอรถเมล์ข้างถนน
ค. ลูกจ้างพนักงานในสำนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง ง. กลุ่มวัยรุ่นเข้ามาชมการแสดงดนตรี
ตอบ ค. กลุ่มสังคม (Social Group) หมายถึง กลุ่มบุคคลที่สมาชิกในกลุ่มมีการติดต่อสัมพันธ์กันอย่างมีระเบียบแบบแผน เป็นที่ยอมรับซึ่งกันและกัน มีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีสัญลักษณ์ และมี ความสนใจคล้ายๆ กัน จึงทำให้กลุ่มมีลักษณะแตกต่างกับกลุ่มอื่นๆ
ตัวอย่างกลุ่มสังคม เช่น ข้าราชการในกระทรวงแห่งหนึ่ง สมาชิกสมาคมนิสิตเก่าของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง สมาชิกมูลนิธิบำเพ็ญกุศลแห่งหนึ่ง หรือสมาชิกพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง เป็นต้น
7. ข้อใดถ้า ไม่มี ความหมายของ “สถาบันสังคม” ก็ยังคงดำรงอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ก. บรรทัดฐานทางสังคม ข. การยอมรับร่วมกันของสมาชิกในสังคม
ค. สนองความต้องการต่างๆ ของสมาชิก ง. ความเชื่อและค่านิยมเป็นแบบแผนเดียวกัน
ตอบ ง. สถาบันทางสังคม (Social Institution) มีองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการ คือ
1) กลุ่มสังคม สถาบันสังคมจะต้องมีกลุ่มสังคมต่างๆ ตัวอย่างเช่น สถาบันเศรษฐกิจจะต้องมีกลุ่มสังคมของผู้ผลิต ผู้ค้าปลีก และผู้ประกอบกิจการธนาคาร เป็นต้น
2) หน้าที่ สถาบันสังคมจะต้องมีหน้าที่หรือจุดมุ่งหมายในการสนองความต้องการของสังคมด้านต่างๆ ตัวอย่างเช่น สถาบันศาสนา ทำหน้าที่เป็นที่พึ่งทางจิตใจของสมาชิก
3) แบบแผนพฤติกรรมที่สมาชิกจะต้องปฏิบัติต่อกัน หมายถึง บรรทัดฐานทางสังคม ได้แก่ วิถีประชา จารีต และกฎหมาย ซึ่งสถาบันสังคมแต่ละแห่งย่อมมีบรรทัดฐานทางสังคมที่แตกต่างกัน
4) สัญลักษณ์และค่านิยม เป็นสิ่งที่ทำให้สมาชิกเกิดความรัก ความศรัทธาต่อสถาบันสังคมแห่งนั้น
8. สถาบันสังคมข้อใด เป็นสถาบันสังคมพื้นฐานในการสร้างสมาชิกในสังคมที่มีคุณภาพ
ก. สถาบันครอบครัว ข. สถาบันการศึกษา
ค. สถาบันศาสนา ง. สถาบันทางปกครอง
ตอบ ก. สถาบันครอบครัว หมายถึง แบบแผนพฤติกรรมของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวและ
เครือญาติ เช่น การสมรส การอบรมเลี้ยงดูบุตร การหย่าร้าง ฯลฯ
9. ลักษณะโครงสร้างทางสังคมข้อใด ถ้าสังคมใด ไม่มี สังคมนั้นจะหยุดนิ่งไม่อาจพัฒนาให้ก้าวหน้าได้
ก. กลุ่มคนที่ติดต่อสัมพันธ์กัน ข. กฎเกณฑ์หรือแบบแผนในการปฏิบัติ
ค. วัตถุประสงค์ในการติดต่อสัมพันธ์กัน ง. การเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม
ตอบ ง. ลักษณะโครงสร้างทางสังคม ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม เช่น จำนวนประชากรในสังคมที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายต่างๆให้เหมาะสม เป็นต้น จะทำให้สังคมไม่อาจพัฒนาให้ก้าวหน้าได้
10. “โครงสร้างทางสังคม” มีความหมายตรงกับข้อใดมากที่สุด
ก. ระเบียบกฎเกณฑ์ที่สมาชิกในสังคมต้องปฏิบัติ
ข. ความสัมพันธ์ระหว่างสถานภาพ บทบาท กับสถาบันสังคม
ค. ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคนในสังคม ซึ่งเชื่อมโยงด้วยบรรทัดฐานทางสังคม
ง. สิ่งที่มารวมกันเป็นสังคมมนุษย์ ซึ่งประกอบด้วยรัฐบาล ประชาชน และวัฒนธรรม
ตอบ ค. โครงสร้างทางสังคม (Social Structure) หมายถึง ความสัมพันธ์ของกลุ่มคนที่มาอยู่ร่วมกันเป็นสังคม โดยมี “บรรทัดฐานทางสังคม” เป็นที่เชื่อมโยงผูกพันระหว่างกัน
11. จุดมุ่งหมายของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสำหรับรัฐบาลมุ่งเน้นข้อใด
ก. พัฒนาเศรษฐกิจภาคเกษตรกรรมเป็นหลัก
ข. ผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศ ลดปริมาณการส่งออก
ค. การพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง
ง. พึ่งตนเองให้มาก โดยอาศัยเทคโนโลยีและภูมิปัญญาไทย
ตอบ ค. การนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน มีแนวทางปฏิบัติ ดังนี้
1) การประหยัด ใช้จ่ายกินอยู่พอประมาณ ไม่ฟุ้งเฟ้อ และหมั่นเก็บออม
2) ประกอบอาชีพสุจริต ไม่คดโกง ไม่ยกย่องผู้มีอำนาจที่ร่ำรวยจากอาชีพทุจริต
3) การไม่แก่งแย่งผลประโยชน์ แข่งขัน หรือเบียดเบียนผู้อื่น
4) หารายได้เพิ่มพูน ใช้เวลาว่างแสวงหารายได้เสริม เพื่อความมั่นคงของครอบครัว
5) ละเว้นไม่กระทำความชั่ว หลีกเลี่ยงอบายมุขทั้งปวง
12. การนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จ ผู้ปฏิบัติจะต้องมีจิตสำนึกข้อใดก่อนเป็น
อันดับแรก
ก. การพึ่งพาตนเองเป็นหลัก ข. ความรอบรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก
ค. ความเอื้ออาทรต่อผู้อื่น ง. การร่วมมือกับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง
ตอบ ก. การนำเศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จ ผู้ปฏิบัติจะต้องมีจิตสำนึกในการพึ่งพาตนเองเป็นอันดับแรก
13. การพัฒนาและบริหารประเทศของรัฐบาลให้ดำเนินไปในทางสายกลาง ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
หมายความว่าอย่างไร
ก. ไม่พึ่งต่างประเทศ ข. ค่อยเป็นค่อยไป ตามฐานะของประเทศ
ค. ความไม่ประมาทและพึ่งตนเองให้มากขึ้น ง. รู้จักประมาณตนและมีเหตุผล
ตอบ ค. การบริหารและการพัฒนาประเทศของรัฐบาล ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสรุปได้
5 ประการ ดังนี้
1) ทางสายกลาง คือ ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท พึ่งตนเองให้มากขึ้น
2) ความสมดุลและความยั่งยืน คือ เน้นพัฒนาในลักษณะองค์รวม มีความพอดี มีความหลากหลายและกลมกลืน และเกิดผลยั่งยืน
3) ความพอประมาณอย่างมีเหตุผล คือ ไม่โลภ ไม่ฟุ้งเฟ้อ รู้จักพอ และมีเหตุผล
4) ภูมิคุ้มกันและรู้เท่าทันโลก คือ รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก สามารถป้องกันหรือลดผลกระทบที่เกิดขึ้นได้
5) เสริมสร้างคุณภาพคน คือ มีจิตสำนึกในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต มีไมตรีจิตเอื้ออาทรต่อกัน
ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน มีวินัย มีความพากเพียร พัฒนาความรู้และปัญญาอย่างต่อเนื่อง
14. ความเป็นมาของเศรษฐกิจพอเพียง เกิดจากเหตุการณ์สำคัญข้อใด
ก. วิกฤตเศรษฐกิจไทย พ.ศ. 2540
ข. การประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540
ค. พระราชดำรัสในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พ.ศ. 2540
ง. การกู้เงินจากกองทุน IMF พ.ศ. 2541
ตอบ ก. “ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง” เกิดจากแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ที่ได้พระราชทานแก่พสกนิกรชาวไทย เพื่อให้เป็นแนวทางแก้ไขปัญหาวิกฤติทางเศรษฐกิจที่เกิดในปี พ.ศ. 2540
15. การเสริมสร้างคุณภาพคน ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง ต้องสร้างให้เกิดคุณธรรมดังต่อไปนี้ แต่ยกเว้นข้อใด
ก. ความซื่อสัตย์สุจริต ข. พัฒนาปัญญาและความรู้อย่างต่อเนื่อง
ค. อดทน มีความเพียร ง. เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตามกระแสวัตถุนิยม
ตอบ ง. เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตามกระแสวัตถุนิยม ไม่ถือเป็นการเสริมสร้างคุณภาพคน ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
16. การนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน สำหรับนักศึกษาควรปฏิบัติข้อใดก่อน จึงจะสอดคล้องกับปรัชญาข้อนี้
ก. การประกอบสัมมาอาชีวะ ข. การไม่แก่งแย่งผลประโยชน์กับผู้อื่น
ค. การละเว้นไม่กระทำความชั่วทั้งปวง ง. การประหยัดและหารายได้ระหว่างศึกษา
ตอบ ง. ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นหลักปรัชญาในการดำเนินชีวิตและการปฏิบัติตนในแนวทาง
สายกลาง การประหยัดและหารายได้ระหว่างที่ศึกษาอยู่นั้น ถือเป็นการประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจ
พอเพียงในแนวทางที่ถูกต้อง
17. ขั้นตอนของ “ทฤษฎีใหม่” ตามแนวพระราชดำริ ในขั้นที่สองหรือขั้นก้าวหน้า เกษตรกรจะรวมกลุ่มเพื่อดำเนินการอย่างไร
ก. ขยายการผลิต การตลาด และพัฒนาความเป็นอยู่ให้ดียิ่งขึ้น
ข. ส่งผลผลิตเข้าสู่ตลาดโดยตรงไม่พึ่งพาพ่อค้าคนกลาง
ค. หาแหล่งเงินกู้จากภายนอกมาสนับสนุนกิจการ
ง. จดทะเบียนเป็นสหกรณ์การเกษตร
ตอบ ก. หลักการของทฤษฎีใหม่ขั้นที่สอง หรือขั้นก้าวหน้า
ในขั้นนี้ เกษตรกรจะพัฒนาไปสู่ขั้นพอกินพอใช้ ให้มีผลสมบูรณ์ยิ่งขึ้น มีรายได้จากการผลิตเพิ่มมากขึ้น โดยร่วมมือกันจัดตั้งเป็นกลุ่มชมรมหรือสหกรณ์ ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจร่วมกันในด้านต่างๆ ดังนี้
1) ด้านการตลาด โดยร่วมมือสร้างอำนาจต่อรองในการจำหน่ายผลผลิตให้ได้ราคาดี
2) ด้านการผลิต อาศัยแรงงานเพื่อนบ้านในรูปแบบ “ลงแขก” เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
3) ด้านชีวิตความเป็นอยู่ สวัสดิการ และสังคม มีการจัดตั้งกองทุนไว้ให้สมาชิกกู้เงินในยามฉุกเฉิน และ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ยามเจ็บไข้ได้ป่วย หรือเกิดอุบัติเหตุต่างๆ
18. พระราชดำรัสเกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ว่า “ความเป็นอยู่ต้องไม่ฟุ้งเฟ้อ ต้องประหยัดไปในทางที่ถูกต้อง” หมายถึงข้อใด
ก. กินดีอยู่ดีตามมาตรฐานคุณภาพชีวิต
ข. ใช้จ่ายเพื่อแสวงหาความสุขตามฐานะ
ค. กินอยู่พอประมาณ ไม่บริโภคสิ่งนอกเหนือปัจจัยสี่
ง. กินอยู่อย่างง่ายๆ ตามสมควรแก่อัตภาพ
ตอบ ง. พระราชดำรัสเกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ว่า “ความเป็นอยู่ต้องไม่ฟุ้งเฟ้อ ต้องประหยัดไปในทางที่ถูกต้อง” หมายถึง กินอยู่อย่างง่ายๆ ตามสมควรแก่อัตภาพ
19. “ทฤษฎีใหม่” ตามแนวพระราชดำรัสที่ได้ทรงทดลองในที่ดินส่วนพระองค์ ณ วัดมงคลชัยพัฒนา อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรี เน้นการพัฒนาเกษตรกรในด้านใด
ก. การแปรรูปผลผลิตเพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้า
ข. การใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ค. การเกษตรแบบผสมผสานโดยไม่พึ่งพาเทคโนโลยี
ง. การจัดสรรที่ดินในระบบสหกรณ์นิคม
ตอบ ข. แนวพระราชดำริ “ทฤษฎีใหม่” โปรดเกล้าฯ ให้ทดลองในที่ดินส่วนพระองค์ ณ วัดมงคลชัยพัฒนา อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรี จำนวน 15 ไร่ (ตามเกณฑ์เฉลี่ยเกษตรกรไทยถือครองที่ดินประมาณครอบครัวละ 15 ไร่) โดยแบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วน 30 : 30 : 30 : 10 ดังนี้
1) ส่วนที่หนึ่ง ขุดสระน้ำไว้ใช้สอยและเลี้ยงสัตว์น้ำ ร้อยละ 30 ของพื้นที่ทั้งหมด
2) ส่วนที่สองใช้เพาะปลูกพืชผลทางการเกษตร ร้อยละ 60 ของพื้นที่ทั้งหมด โดยแบ่งเป็นนาข้าว ร้อยละ 30 และปลูกไม้ยืนต้น พืชไร่ พืชสวน ร้อยละ 30
3) ส่วนที่สาม ใช้ปลูกบ้าน โรงนาเก็บอุปกรณ์การเกษตร ถนน คูคลอง ปลูกพืชสวนครัว และเลี้ยงสัตว์ หมู เป็ด ไก่ ร้อยละ 10 ของพื้นที่ทั้งหมด
20. การแบ่งที่ดิน
ก. สัตว์น้ำใช้เพาะปลูกในฤดูแล้งและเลี้ยงปลา ข. ทำนาข้าวในฤดูฝน
ค. ปลูกไม้ยืนต้น พืชไร่ พืชสวน ง. เลี้ยงสุกรและสัตว์ปลีก
ตอบ ง. เลี้ยงสุกรและสัตว์ปีก มิใช่การแบ่งที่ดินเป็นสัดส่วน 30 : 30 : 30 : 10 ตาม “ทฤษฎีใหม่”
21. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มีสาระสำคัญที่มุ่งจะแก้ไขปัญหาโดยมีแนวทาง อย่างไร
ก. การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างเต็มที่
ข. การส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างเต็มที่
ค. การขยายสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างเต็มที่
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มีสาระสำคัญคือ มุ่งที่จะแก้ไขปัญหาโดยมีแนวทางที่สำคัญคือ การคุ้มครอง ส่งเสริม และขยายสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างเต็มที่ การลดการผูกขาดอำนาจรัฐและขจัดการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม การทำให้การเมืองมีความโปร่งใส มีคุณธรรมและจริยธรรม ทำให้ระบบการตรวจสอบมีความเข้มแข็งและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
22. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 กำหนดให้ประชาชนได้รับการศึกษาฟรีกี่ปี
ก. 12 ปี ข. 13 ปี
ค. 14 ปี ง. 16 ปี
ตอบ ก. ตามมาตรา 49 แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 กำหนดให้บุคคลได้รับการศึกษาไม่น้อยกว่า 12 ปี ที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
23. การแต่งตั้งข้าราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นข้อใดกล่าว ถูกต้อง
ก. ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้แต่งตั้ง
ข. ได้รับความเห็นชอบจากประชาชนในท้องถิ่น
ค. ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการข้าราชการส่วนท้องถิ่น
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ค. การแต่งตั้งข้าราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องเป็นไปตามความเหมาะสม และความจำเป็นของแต่ละท้องถิ่น โดยการบริหารงานบุคคลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีมาตรฐาน สอดคล้องกัน และอาจได้รับการพัฒนาร่วมกันหรือสับเปลี่ยนบุคลากรระหว่างองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นด้วยกันได้ รวมทั้งต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการข้าราชการส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นองค์กรกลางบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นก่อน
24. รัฐธรรมนูญกำหนดให้มีสมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งกี่คน
ก. 75 คน ข. 76 คน
ค. 80 คน ง. 85 คน
ตอบ ข. วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจำนวนรวม 150 คน ซึ่งมาจากการเลือกตั้งจังหวัดละ 1 คน (76 คน) และมาจากการสรรหาเท่ากับจำนวนรวมข้างต้น (150 คน) หักด้วยจำนวนสมาชิกวุฒิสภาที่มาจาก การเลือกตั้ง
25. รัฐธรรมนูญกำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส) มีจำนวนเท่าใด
ก. 400 คน ข. 450 คน
ค. 480 คน ง. 500 คน
ตอบ ค. สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิก จำนวน 480 คน โดยมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต
400 คน และแบบสัดส่วน 80 คน
26. ประชาชนจำนวนกี่คนมีสิทธิเข้าชื่อถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ก. 10,000 คน ข. 20,000 คน
ค. 30,000 คน ง. 50,000 คน
ตอบ ข. ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 20,000 คน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภามีมติถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองออกจากตำแหน่งได้
27. บุคคลที่ไม่มีรายได้ แต่มีสิทธิได้รับสวัสดิการจากรัฐ บุคคลนั้นต้องมีอายุตามข้อใด
ก. เกิน 50 ปี ข. เกิน 55 ปี
ค. เกิน 60 ปี ง. เกิน 70 ปี
ตอบ ค. บุคคลซึ่งมีอายุเกิน 60 ปีบริบูรณ์ และไม่มีรายได้เพียงพอต่อการยังชีพมีสิทธิได้รับสวัสดิการ สิ่งอำนวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะอย่างสมศักดิ์ศรี และความช่วยเหลือที่เหมาะสมจากรัฐ
28. รัฐธรรมนูญจำกัดการผูกขาดและการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมของรัฐบาล โดยให้นายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งอยู่ได้ไม่เกินกี่ปี
ก. 4 ปี ข. 8 ปี
ค. 12 ปี ง. 16 ปี
ตอบ ข. พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ให้มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามหลักความรับผิดชอบร่วมกัน และนายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน 8 ปี ไม่ได้
29. องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นต้องรายงานการดำเนินการใยเรื่องการจัดทำงบประมาณต่อบุคคลตามข้อใด
ก. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ข. ผู้ว่าราชการจังหวัด
ค. ท้องถิ่นจังหวัด ง. ประชาชน
ตอบ ง. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องรายงานการดำเนินงานต่อประชาชนในเรื่องการจัดทำงบประมาณการใช้จ่าย และผลการดำเนินงานในรอบปี เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบและกำกับการบริหารจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
30. สมาชิกวุฒิสภามีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละกี่ปี
ก. 4 ปี ข. 5 ปี
ค. 6 ปี ง. 7 ปี
ตอบ ค. สมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภามีกำหนดคราวละ 6 ปี นับแต่วันเลือกตั้ง หรือวันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลสรรหาแล้วแต่กรณี โดยสมาชิกวุฒิสภาจะดำรงตำแหน่งติดต่อกัน
1 วาระไม่ได้
31. ข้อใดอธิบายความหมายของ รัฐ ได้ถูกต้อง
ก. ประเทศที่มีประชากรอาศัยอยู่จำนวนหนึ่ง ข. ประเทศที่มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง
ค. ชุมชนทางการเมืองที่มีอาณาเขตแน่นอน ง. ประเทศที่รัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง
ตอบ ข. รัฐ คือ ชุมชนทางการเมืองที่มีดินแดนอาณาเขตแน่นอน มีประชากรอาศัยอยู่จำนวนหนึ่ง โดยมีอำนาจอธิปไตยในดินแดนของตนอย่างเป็นอิสระไม่ขึ้นกับใคร มีรัฐบาลที่มีอำนาจการปกครองเหนือดินแดนและประชากร
32. สิ่งที่ประกอบขึ้นมาเป็น “รัฐ” มี 4 ประการ ยกเว้น ข้อใด
ก. รัฐบาลมีอำนาจบริหารอย่างเป็นอิสระ ข. ดินแดนที่มีอาณาเขตแน่นอน
ค. อำนาจอธิปไตยในการปกครองตนเอง ง. รัฐธรรมนูญ
ตอบ ง. องค์ประกอบของรัฐมี 4 ประการ คือ
1) ประชากรมีจำนวนเท่าใดก็ได้ แต่ต้องมีสัญชาติเดียวกันและอาจมีหลายเชื้อชาติได้
2) ดินแดนที่มีอาณาเขตแน่นอน
3) มีอำนาจอธิปไตยในการปกครองตนเองเป็นอิสระไม่ขึ้นอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐอื่น
4) มีรัฐบาลทำหน้าที่บริหารประเทศอย่างเป็นอิสระ
33. ประเทศที่มีรูปแบบเป็น “รัฐเดี่ยว” มีลักษณะอย่างไร
ก. มีรัฐบาลกลางแห่งเดียวใช้อำนาจบริหาร
ข. มีพรรคการเมืองพรรคเดียวบริหารประเทศ
ค. มีรัฐบาลท้องถิ่นบริหารกิจการท้องถิ่นของตนเอง
ง. มีพื้นที่เล็กไม่อาจแบ่งแยกได้
ตอบ ก. รัฐเดี่ยว (เอกรัฐ) หมายถึง รัฐที่มีรัฐบาลกลางเพียงรัฐเดียวเป็นผู้ใช้อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ ตัวอย่างเช่น ญี่ปุ่น ไทย สิงคโปร์ อังกฤษ ฝรั่งเศส เป็นต้น
34. ข้อใดเป็นประเทศที่มีรูปแบบการปกครองเป็น “รัฐเดี่ยว” ทั้งหมด
ก. ญี่ปุ่นและไทย ข. รัสเซียและแคนาดา
ค. อินเดียและพม่า ง. มาเลเซียและจีน
ตอบ ก. รัฐเดี่ยว ได้แก่ ญี่ปุ่น ไทย สิงคโปร์ อังกฤษ ฝรั่งเศส
35. ลักษณะของประเทศที่มีรูปแบบการปกครองเป็น “รัฐรวม” หรือแบบสหพันธรัฐ คือข้อใด
ก. มีพื้นที่กว้างใหญ่และมีประชากรมาก
ข. รวมศูนย์อำนาจการปกครองไว้ที่ส่วนกลาง
ค. มีทั้งรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น แบ่งอำนาจหน้าที่กัน
ง. รัฐบาลกลางที่เมืองหลวงมีอำนาจน้อยกว่ารัฐบาลท้องถิ่น
ตอบ ค. รัฐรวม (สหพันธรัฐ) หมายถึง รัฐที่แบ่งอำนาจการปกครองออกเป็น 2 ระดับ หรือมีรัฐบาล
2 ระดับ คือ รัฐบาลกลางที่เมืองหลวงและรัฐบาลท้องถิ่นของแต่ละมลรัฐ โดยรัฐบาลกลางยังคงมีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐประชาชนจีน สหพันธรัฐรัสเซีย สาธารณรัฐอินเดีย และมาเลเซีย เป็นต้น
2. การร่างหนังสือราชการ
36. หนังสือราชการมีกี่ชนิด
ก. 3 ชนิด ข. 4 ชนิด
ค. 5 ชนิด ง. 6 ชนิด
ตอบ ง. ชนิดของหนังสือราชการ
1) หนังสือภายนอก ใช้ในการติดต่อราชการทั่วไป
2) หนังสือภายใน ใช้ในการติดต่อราชการภายในกระทรวง ทบวง กรม หรือจังหวัดเดียวกัน
3) หนังสือประทับตรา ใช้ในการติดต่อราชการเฉพาะกรณีที่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
4) หนังสือสั่งการ ได้แก่ คำสั่ง ระเบียบ ข้อบังคับ
5) หนังสือประชาสัมพันธ์ ได้แก่ ประกาศ แถลงการณ์ ข่าว
6) หนังสือที่เจ้าหน้าที่ทำขึ้นหรือรับไว้เป็นเอกสารของทางราชการ ได้แก่ หนังสือรับรองรายงานการ ประชุม บันทึก และหนังสืออื่น
37. “หนังสือติดต่อราชการที่เป็นแบบพิธี ใช้กระดาษตราครุฑ ใช้ติดต่อระหว่างส่วนราชการ .....” คือ หนังสือราชการชนิดใด
ก. หนังสือภายนอก ข. หนังสือภายใน
ค. หนังสือประทับตรา ง. หนังสือประชาสัมพันธ์
ตอบ ก. หนังสือภายนอก คือ หนังสือติดต่อราชการที่เป็นแบบพิธี ใช้กระดาษตราครุฑ เขียนเป็นหนังสือติดต่อระหว่างส่วนราชการ หรือส่วนราชการมีถึงหน่วยงานอื่นใดที่มิใช่ส่วนราชการ หรือมีถึงบุคคลภายนอก
38. ข้อใด เรียงลำดับโครงสร้างของหนังสือภายนอกได้ถูกต้อง
ก. หัวหนังสือ-จุดประสงค์ที่มีหนังสือไป-ท้ายหนังสือ
ข. หัวหนังสือ-เหตุที่มีหนังสือไป-จุดประสงค์ที่มีหนังสือไป-ท้ายหนังสือ
ค. หัวหนังสือ-เหตุที่มีหนังสือไป-ท้ายหนังสือ
ง. หัวหนังสือ-จุดประสงค์ที่มีหนังสือไป-เหตุที่มีหนังสือไป-ท้ายหนังสือ
ตอบ ข. โครงสร้างหนังสือภายนอกที่ถูกต้อง
1) หัวหนังสือ 2) เหตุที่มีหนังสือไป 3) จุดประสงค์ที่มีหนังสือไป 4) ท้ายหนังสือ
39. “ส่วนราชการเจ้าของหนังสือ” อยู่ในส่วนใดในโครงสร้างหนังสือภายนอก
ก. หัวหนังสือ ข. เหตุที่มีหนังสือไป
ค. จุดประสงค์ที่มีหนังสือไป ง. ท้ายหนังสือ
ตอบ ก. หัวหนังสือมีรายละเอียดดังนี้
- ที่ ให้ลงรหัสตัวพยัญชนะ และเลขประจำเจ้าของเรื่อง (ส่วนราชการหรือหน่วยงานที่ออกหนังสือ ตามที่กำหนดไว้ในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยงานสารบรรณ) ทับเลขทะเบียนหนังสือส่ง
- ส่วนราชการเจ้าของหนังสือ ให้ลงชื่อส่วนราชการ สถานที่ราชการ หรือคณะกรรมการที่เป็นเจ้าของหนังสือนั้น และโดยปกติให้ลงที่ตั้งด้วย (ส่วนราชการที่ลงในส่วนหัวหนังสือ เป็นส่วนราชการ “เจ้าของหนังสือ” แต่ส่วนราชการที่ลงในส่วนท้ายหนังสือ เป็นส่วนราชการ “เจ้าของเรื่อง” เช่น หนังสือของกรมที่ดิน กรมที่ดินเป็นเจ้าของหนังสือ ถ้าหนังสือนั้นจัดทำโดยกองการเจ้าหน้าที่ กองการเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าของเรื่อง
- วัน เดือน ปี ให้ลงตัวเลขของวันที่ ชื่อเต็มของเดือน และตัวเลขของปี พ.ศ. ที่ออกหนังสือ
- เรื่อง ให้ลงเรื่องย่อที่เป็นใจความที่สั้นที่สุดของหนังสือนั้น ในกรณีที่เป็นหนังสือต่อเนื่อง โดยปกติให้ ลงเรื่องของหนังสือฉบับเดิม
- คำขึ้นต้น ให้ใช้คำขึ้นต้นตามฐานะของผู้รับหนังสือตามที่กำหนดไว้ในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ แล้วลงชื่อตำแหน่งของผู้ที่หนังสือนั้นมีถึงหรือชื่อบุคคลในกรณีที่มีหนังสือถึงตัวบุคคลโดยไม่เกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่
- อ้างถึง ถ้ามีการอ้างถึงหนังสือที่เคยมีติดต่อกัน ที่ส่วนราชการผู้รับหนังสือได้รับมาก่อน ให้ลงชื่อส่วนราชการเจ้าของหนังสือ และเลขที่หนังสือ วันเดือนปี พ.ศ. ของหนังสือนั้น
- สิ่งที่ส่งมาด้วย ถ้ามีสิ่งที่ส่งไปกับหนังสือนั้นด้วย ก็ให้ลงชื่อสิ่งของหรือเอกสารที่ส่งไปกับหนังสือนั้น ในกรณีที่ไม่สามารถส่งไปในซองเดียวกัน ให้แจ้งว่าส่งไปโดยทางใด
40. หากมีสิ่งที่จะส่งไปกับหนังสือด้วย จะต้องลงชื่อสิ่งของหรือเอกสารนั้นๆ ไว้ในหัวข้อใด
ก. คำขึ้นต้น ข. อ้างถึง
ค. สิ่งที่ส่งมาด้วย ง. สำเนาส่ง
ตอบ ค. สิ่งที่ส่งมาด้วย ถ้ามีสิ่งที่จะส่งไปกับหนังสือนั้นด้วย ก็ให้ลงชื่อสิ่งของหรือเอกสารที่ส่งไปกับหนังสือนั้น ในกรณีที่ไม่สามารถส่งไปในซองเดียวกัน ให้แจ้งว่าส่งไปโดยทางใด
41. “เหตุที่มีหนังสือไป” จะต้องเป็นข้อความกี่ตอนจึงจะถูกต้อง
ก. 1 ตอน ข. 2 ตอน
ค. 3 ตอน ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. เหตุที่มีหนังสือไป คือ ข้อความที่ผู้มีหนังสือไปแจ้งเหตุที่ต้องมีหนังสือไปยังผู้รับหนังสือ ซึ่งอาจเป็นข้อความตอนเดียว หรือ 2 ตอน หรือ 3 ตอนก็ได้
42. โครงสร้างของหนังสือภายในมีลักษณะแตกต่างกับหนังสือภายนอกในส่วนใด
ก. คำขึ้นต้น ข. เรื่อง
ค. สิ่งที่ส่งมาด้วย ง. คำลงท้าย
ตอบ ง. หนังสือภายใน โครงสร้างเช่นเดียวกับหนังสือภายนอก เว้นแต่
1) ส่วนราชการ ให้ลงชื่อส่วนราชการเจ้าของเรื่อง หรือหน่วยงานที่ออกหนังสือ โดยปกติถ้าส่วนราชการที่ออกหนังสืออยู่ในระดับกรมขึ้นไป ให้ลงชื่อส่วนราชการเจ้าของเรื่องทั้งระดับกรมและกอง ถ้าส่วนราชการที่ออกหนังสืออยู่ในระดับต่ำกว่ากรมลงมาให้ลงชื่อส่วนราชการเจ้าของเรื่องเพียงระดับกอง พร้อมหมายเลขโทรศัพท์ (ถ้ามี)
2) คำลงท้าย หนังสือภายในไม่มีคำลงท้าย
43. กรณีใดที่ไม่สามารถใช้หนังสือชนิดหนังสือประทับตราได้
ก. การขอรายละเอียดเพิ่มเติม
ข. หนังสือที่เป็นกรณีเรื่องสำคัญ
ค. หนังสือแจ้งผลงานที่ได้ดำเนินการไปแล้วให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทราบ
ง. การเตือนเรื่องค้าง
ตอบ ข. หนังสือประทับตราคือ หนังสือติดต่อราชการที่ใช้ประทับตราแทนการลงชื่อของหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมขึ้นไป โดยให้หัวหน้าส่วนราชการระดับกอง หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมขึ้นไปเป็นผู้รับผิดชอบและลงชื่อย่อกำกับตรา ใช้ได้ทั้งระหว่างส่วนราชการกับส่วนราชการ หรือกับหน่วยงานที่ไม่ใช่ส่วนราชการ และกับบุคคลภายนอก แต่ใช้ได้เฉพาะกรณีที่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
44. คำใด ไม่ใช้เป็นคำเริ่มต้นแจ้งเหตุที่มีหนังสือไป
ก. ด้วย ข. เนื่องจาก
ค. อ้างถึง ง. อนุสนธิ
ตอบ ค. คำเริ่มต้นแจ้งเหตุที่มีหนังสือไป จะเริ่มต้นด้วยคำใดคำหนึ่งใน 5 คำนี้ คือ
- ด้วย ใช้ในกรณีที่เป็นเรื่องใหม่ ซึ่งไม่เคยติดต่อหรือรับรู้กันมาก่อน ระหว่างผู้มีหนังสือไปกับผู้รับหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนั้น
- เนื่องจาก ใช้ในกรณีที่เป็นเรื่องใหม่ ซึ่งไม่เคยติดต่อหรือรับรู้กันมาก่อน ระหว่างผู้มีหนังสือไปกับผู้รับหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนั้น และต้องการอ้างเป็นเหตุอันหนักแน่นที่จำเป็นต้องมีหนังสือไป เพื่อให้ผู้รับดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง
- ตาม ตามที่ อนุสนธิ ใช้ในกรณีที่เคยมีเรื่องติดต่อหรือรับรู้กันมาก่อน ระหว่างผู้มีหนังสือไปกับผู้รับหนังสือ ซึ่งจะอ้างเรื่องที่เคยติดต่อหรือรับรู้กันมาก่อนดังกล่าว โดยจะต้องมีคำว่า “นั้น” อยู่ท้ายตอนแรก และจะต้องมีข้อความซึ่งเป็นเหตุที่มีหนังสือไปอีกตอนหนึ่งเป็นอย่างน้อยเสมอ จะเขียนแจ้งเหตุที่มีหนังสือไปตอนเดียว แล้วเขียนจุดประสงค์ที่มีหนังสือไป (ที่เริ่มด้วยคำว่า “จึง”) ไม่ได้
45. จุดมุ่งหมายของการเขียนชื่อเรื่องคืออะไร
ก. เพื่อรู้ใจความย่อของหนังสือ ข. เพื่อถูกต้องตามหลักการสากลของการหนังสือ ค. เพื่อสะดวกแก่การแยก เก็บ ค้น อ้างอิง ง. ข้อ ก และ ค ถูก
ตอบ ง. การเขียนชื่อเรื่อง ต้องคำนึงถึงจุดมุ่งหมาย 2 ประการ คือ เพื่อให้ได้รู้ใจความที่ย่อสั้นที่สุดของหนังสือ และเพื่อให้สะดวกแก่การแยก เก็บ ค้น อ้างอิง ชื่อเรื่องที่ดีควรมีลักษณะดังนี้
1) ย่อสั้นที่สุด ไม่ควรให้ยาวเกินกว่า 2 บรรทัด ยิ่งถ้าย่อให้ได้เพียงครึ่งบรรทัดยิ่งดี
2) เป็นประโยคหรือวลี เพราะถ้าเป็นเพียงคำนามหรือคำกริยา จะไม่ได้ใจความ
3) พอรู้ใจความว่าเป็นเรื่องอะไร เพราะผู้รับหนังสือย่อมอยากจะทราบในเบื้องต้นก่อนอ่านละเอียดทั้งฉบับว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร
4) แยก เก็บ ค้น อ้างอิง ได้ง่าย เจ้าหน้าที่รับ-ส่งหนังสือ แยกเรื่อง ส่งหน่วยที่เกี่ยวข้องได้ถูกต้องโดยไม่ต้องอ่านละเอียดทั้งฉบับ สามารถเก็บเข้าหมวดหมู่หรือค้นตามประเภทเรื่องได้รวดเร็ว สะดวกในการอ้างอิง
5) แยกความแตกต่างจากเรื่องอื่นได้
46. การเขียนชื่อเรื่องที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร
ก. ย่อให้สั้นที่สุด ข. ใช้เป็นคำนามหรือคำกริยา
ค. ต้องเหมือนหรือคล้ายกับเรื่องอื่นๆ ง. ใช้ภาษาสละสลวย
ตอบ ก. ชื่อเรื่องที่ดีควรมีลักษณะดังนี้
1) ย่อสั้นที่สุด ไม่ควรให้ยาวเกินกว่า 2 บรรทัด ยิ่งถ้าย่อให้ได้เพียงครึ่งบรรทัดยิ่งดี
2) เป็นประโยคหรือวลี เพราะถ้าเป็นเพียงคำนามหรือคำกริยา จะไม่ได้ใจความ
3) พอรู้ใจความว่าเป็นเรื่องอะไร เพราะผู้รับหนังสือย่อมอยากจะทราบในเบื้องต้นก่อนอ่านละเอียดทั้งฉบับว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร
4) แยก เก็บ ค้น อ้างอิง ได้ง่าย เจ้าหน้าที่รับ-ส่งหนังสือ แยกเรื่อง ส่งหน่วยที่เกี่ยวข้องได้ถูกต้องโดยไม่ต้องอ่านละเอียดทั้งฉบับ สามารถเก็บเข้าหมวดหมู่หรือค้นตามประเภทเรื่องได้รวดเร็ว สะดวกในการอ้างอิง
5) แยกความแตกต่างจากเรื่องอื่นได้
47. กรณีที่เป็นเรื่องใหม่ที่ยังไม่เคยมีการติดต่อหรือรับรู้มาก่อน ควรใช้คำเริ่มต้นแจ้งเหตุที่มีหนังสือไปว่าอย่างไร
ก. เนื่องจาก ข. ตามที่
ค. อ้างถึง ง. อนุสนธิ
ตอบ ก. เนื่องจากใช้ในกรณีที่เป็นเรื่องใหม่ ซึ่งไม่เคยติดต่อหรือรับรู้กันมาก่อน ระหว่างผู้มีหนังสือไปกับผู้รับหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนั้น และต้องการอ้างเป็นเหตุอันหนักแน่นที่จำเป็นต้องมีหนังสือไป เพื่อให้ผู้รับดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง
48. หลักในการเขียนจุดประสงค์ที่มีหนังสือไป คือข้อใด
ก. เขียนให้ตรงกับลักษณะและความมุ่งหมาย ข. เขียนแจ้งจุดประสงค์ให้ชัดเจน
ค. เขียนโดยใช้ถ้อยคำที่เหมาะสม ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. หลักในการเขียนจุดประสงค์ที่มีหนังสือไป
1) เขียนให้ตรงกับลักษณะและความมุ่งหมาย
2) เขียนแจ้งจุดประสงค์ให้ชัดเจน
3) เขียนโดยใช้ถ้อยคำให้เหมาะสมตามควรแก่กรณี
49. ข้อใดมีความหมายอย่างเดียวกันกับคำว่า อัน
ก. ซึ่ง ข. กับ
ค. รวมทั้ง ง. หรือ
ตอบ ก. ที่ – ซึ่ง – อัน มีความหมายอย่างเดียวกัน ใช้แทนกันได้
50. คำใด ใช้แทนคำว่า “และ” ได้
ก. แก่ ข. แด่
ค. ต่อ ง. รวมทั้ง
ตอบ ง. และ – กับ – รวมทั้ง – ตลอดจน มีความหมายอย่างเดียวกัน ใช้แทนกันได้
51. หนังสือตอบปฏิเสธมีกี่ลักษณะ
ก. 1 ลักษณะ ข. 2 ลักษณะ
ค. 3 ลักษณะ ง. 4 ลักษณะ
ตอบ ค. หนังสือตอบปฏิเสธมี 3 ลักษณะ ดังนี้ 1) ตอบปฏิเสธการให้ 2) ตอบปฏิเสธคำขอ
ที่ไม่ใช่คำขอตามกฎหมาย 3) ตอบปฏิเสธคำขอที่ขอตามกฎหมาย
52. การเขียนหนังสือตอบปฏิเสธการให้ ต้องเขียนอย่างไร
ก. ขอบคุณ - อ้างเหตุผลที่ไม่รับ
ข. ขอบคุณ – อ้างเหตุผลที่ไม่รับ-ขอโอกาสอื่น หรือขอเป็นอย่างอื่น
ค. ขอบคุณ - อ้างเหตุผลที่ไม่รับ –แสดงน้ำใจที่จะให้ความร่วมมือในโอกาสหน้า
ง. ขอบคุณ – อ้างเหตุผลที่ไม่รับ – แสดงน้ำใจที่จะให้ความร่วมมือในโอกาสหน้า
ตอบ ข. การเขียนหนังสือตอบปฏิเสธการให้ 1) ขอบคุณ 2) อ้างเหตุผลที่ไม่รับ 3) ขอโอกาสอื่น หรือขอเป็นอย่างอื่น
53. การเขียนหนังสือขอร้อง ไม่ต้องมีลักษณะตามข้อใด
ก. เหตุผลความจำเป็นที่ต้องขอร้อง ข. ขอร้องให้เขาดำเนินการ หรือมาในงาน
ค. ขอบคุณในความอนุเคราะห์ของเขา ง. แสดงน้ำใจที่จะให้ความร่วมมือในโอกาสหน้า
ตอบ ง. หนังสือขอร้องคือ หนังสือที่ขอให้พิจารณาหรือดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ เช่นขอให้นำเสนอพิจารณา อนุญาต อนุมัติ หรือ หนังสือเชิญมาในงานเขียนให้บรรลุวัตถุประสงค์ ต้องเขียนกล่อมใจ ด้วยคารมตามสมควร เขียนจับใจ ด้วยเหตุผลตามสมควรแก่กรณี และล่อใจ ด้วยการขอบคุณในความอนุเคราะห์ของเขา
- อ้างเหตุผลความจำเป็นที่ต้องขอร้อง
- ขอร้องให้เขาดำเนินการ หรือมาในงาน
- ขอบคุณในความอนุเคราะห์ของเขา หรือในการที่เขาสละเวลาให้เกียรติมาในงาน
54. การเขียนหนังสือขอความร่วมมือ ไม่ต้องมีลักษณะตามข้อใด
ก. บอกความจำเป็นหรือความต้องการของเรา
ข. ขอความร่วมมือจากเขา
ค. ตั้งความหวังว่าจะได้รับความร่วมมือและขอบคุณ
ง. แสดงน้ำใจที่จะให้ความร่วมมือในโอกาสหน้า
ตอบ ง. หนังสือขอความร่วมมือคือ หนังสือที่มีถึงผู้มีหน้าที่อย่างเดียวกันหรือเกี่ยวข้องกัน เพื่อขอให้ร่วมมือดำเนินการ การเขียนให้บรรลุวัตถุประสงค์ต้อง เขียนกล่อมใจด้วยความมากกว่าหนังสือขอร้อง เขียนจับใจด้วยเหตุผลจำเป็นมากกว่าหนังสือขอร้อง และต้องตั้งความหวังว่าจะได้รับความร่วมมือ พร้อมทั้งล่อใจด้วยการขอบคุณ
55. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับระเบียบวาระการประชุม
ก. วาระที่ 1 เรื่องที่ประธานแจ้งให้ทราบ ข. วาระที่ 2 เรื่องรับรองรายงานการประชุม
ค. วาระที่ 3 เรื่องอื่นๆ (ถ้ามี) ง. วาระที่ 4 เรื่องเสนอพิจารณา
ตอบ ค. ระเบียบวาระการประชุม (หรือวาระการประชุม) โดยทั่วไปกำหนดดังนี้
1) ระเบียบวาระที่ 1 เรื่องที่ประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบ
2) ระเบียบวาระที่ 2 เรื่องรับรองรายงานการประชุม
3) ระเบียบวาระที่ 3 เรื่องสืบเนื่อง (หรือค้างพิจารณา)
4) ระเบียบวาระที่ 4 เรื่องเสนอพิจารณา
5) บางกรณีระเบียบวาระการประชุมจัดเป็นเรื่องๆ โดยไม่แยกหมวด หรือวาระก็ได้ กรณีนี้การจดรายงานการประชุมก็จดเป็น “เรื่อง”
3. การบริหารสำนักงานสมัยใหม่
56. ข้อใดกล่าว ถูกต้อง เกี่ยวกับคำว่า “สำนักงาน”
ก. อาคารสำนักงาน ข. วัตถุประสงค์ของสำนักงาน
ค. การจัดเก็บเอกสาร ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. คำจำกัดความของคำว่า “สำนักงาน”
1. หมายถึงอาคารสำนักงาน รวมถึงตัวอาคารหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของอาคาร การใช้งานส่วนใหญ่หรือทั้งหมดในฐานะที่เป็นสำนักงานหรือวัตถุประสงค์ในการทำงาน
2. หมายถึง วัตถุประสงค์ของสำนักงาน รวมถึงวัตถุประสงค์ในการบริหารงาน งานบุคลากร การจัดการด้านการเงิน การโทรศัพท์ และโทรเลข
3. หมายถึง งานเอกสารต่างๆ รวมถึง งานขีดเขียน งานบัญชี คัดแยกเอกสาร จัดเก็บเอกสาร งานพิมพ์ดีด งานถ่ายเอกสาร การใช้เครื่องคำนวณ การวาดรูป และการจัดเตรียมงานด้านสารบรรณ เพื่องานจัดพิมพ์เอกสารหนังสือต่างๆ
57. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารสำนักงานให้เกิดประสิทธิภาพ
ก. วิธีการ ข. วัตถุประสงค์
ค. สภาพแวดล้อม ง. ผลสัมฤทธิ์
ตอบ ง. แนวทางการบริหารสำนักงานให้เกิดประสิทธิภาพ
1) วัตถุประสงค์ สิ่งสำคัญประการหนึ่งก็คือการกำหนดวัตถุประสงค์ของสำนักงานหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของสำนักงาน
2) องค์กร คือ การจัดการในด้านบุคลากร การจำแนกตำแหน่งหน้าที่ของบุคลากร
3) วิธีการ (ระบบ) คือลำดับของการปฏิบัติงานและสิ่งที่ต้องจัดทำ จัดทำที่ไหน ภายในกรอบเวลาที่กำหนด
4) บุคลากร จะเกี่ยวข้องกับการจัดจ้าง การกำหนดตำแหน่งหน้าที่ การฝึกอบรม ขวัญและกำลังใจ การปรับปรุงตำแหน่งหน้าที่ และการลดพนักงาน
ความจำเป็นต้องได้รับการตอบสนองความต้องการทางชีวภาพและความต้องการทางด้านสังคมจิตวิทยา
5) สภาพแวดล้อม รวมไปถึงตัวอาคารสำนักงาน การจัดวางผังอาคาร แผนกต่างๆ และสภาพต่างๆ
ที่สามารถมองเห็นได้
6) อุปกรณ์ รวมถึงเครื่องมือเครื่องใช้เพื่อช่วยในการปฏิบัติงานในสำนักงาน
58. ข้อใดกล่าว ถูกต้อง ตามแนวคิดการบริหารสมัยใหม่
ก. มุ่งกำไรสูงสุด ข. เพิ่มผลผลิตโดยใช้เครื่องจักร
ค. มุ่งความสะอาดในเรื่องทั่วไป ง. จัดหน่วยงานอิสระคล่องตัว
ตอบ ง. แนวคิดการบริหารสมัยใหม่เป็นการบูรณาการของการบริหารทุกรูปแบบมาผสมผสานกัน เพื่อที่จะทำให้เกิดผลดีที่สุดในขบวนการบริหารงาน โดยจะต้องตอบรับกับความหลากหลายของมนุษย์โดยการปรับกลยุทธ์ทางการบริหารและแสวงหาโอกาสให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และเสริมด้วยแนวคิดเรื่องของการบริหารคุณภาพโดยรวม การมุ่งสู่ความเป็นเลิศการลดสายการบังคับบัญชาให้สั้นลง การเรียนรู้และการปรับปรุงรูปแบบองค์กร และการแสวงหาจากภายนอกด้วย
59. ผู้บริหารที่เชื่อในระบบการควบคุมและลงโทษเพื่อให้บุคลากรทำงานนั้น เป็นหลักของทฤษฎีบริหารที่เรียกว่า
ก. ทฤษฎีพื้นฐานการจูงใจ ข. ทฤษฎี X
ค. ทฤษฎี Y ง. ทฤษฎีรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง
ตอบ ข. ทฤษฎี X จะมองคนในแง่ร้าย เช่น ขี้เกียจทำงาน หลีกเลี่ยงงาน ไม่สนใจงาน ต้องมีกฎระเบียบ ข้อบังคับ การลงโทษจึงจะทำงาน
60. ข้อใดเป็นความต้องการระดับสูงสุดของมนุษย์ตามทฤษฎีของ Maslow
ก. ความมั่นคงปลอดภัย ข. ความยอมรับนับถือยกย่อง
ค. ความผูกพันกับทุกกลุ่ม ง. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ ง. ความต้องการของมนุษย์จากต่ำไปหาสูง มาสโลว์ จัดลำดับไว้ดังนี้คือ
1) ความต้องการทางกาย หรือสรีระ เช่น ความต้องการปัจจัย 4 ซึ่งจะต้องได้รับการตอบสนองอยู่ตลอดเวลา
2) ความต้องการความปลอดภัย หรือความมั่นคง เช่น ต้องการมีอาชีพ การงานที่มั่นคง มีรายได้แน่นอน3) ความต้องการทางสังคม เช่น ต้องการมีเพื่อน ต้องการให้บุคคลยินยอมรับเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่ม
4) ความต้องการให้บุคคลอื่นยกย่องว่าตนเองมีความสำคัญ ต้องการให้คนอื่นยอมรับตนเอง เป็นคนมีความสำคัญในสังคมนั้น
5) ความสำเร็จในชีวิตการงาน เป็นความต้องการสูงสุดของมนุษย์คือ ต้องการไปสู่ความสำเร็จตามที่ตนเองปรารถนา ความต้องการนี้บุคคลแต่ละคนจะมีความต้องการที่แตกต่างกันไปตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้
61. การบริหารสมัยใหม่มุ่งเน้นเรื่องใด
ก. ประสิทธิภาพ ข. ประสิทธิผล
ค. ความเป็นเลิศ ง. ทรัพยากรมนุษย์
ตอบ ค. การบริหารสมัยใหม่จะมุ่งเน้นไปสู่ความเป็นเลิศ
62. จัดหาข้อมูลที่ถูกต้องและถูกเวลาให้กับฝ่ายบริหาร เพื่ออำนวยความสะดวกกับกระบวนการตัดสินใจ
และช่วยให้หน้าที่ การวางแผน การควบคุม การดำเนินงานขององค์การดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ คือข้อใด
ก. MIS ข. TOM
ค. QC ง. MIC
ตอบ ก. ระบบข้อมูลเพื่อการบริหาร คือ วิธีการที่เป็นทางการของการจัดหาข้อมูลที่ถูกต้องและถูกเวลาให้กับฝ่ายบริหาร เพื่ออำนวยความสะดวกกับกระบวนการตัดสินใจ และช่วยให้หน้าที่การวางแผน การควบคุม การดำเนินงานขององค์การดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ ระบบจะให้ข้อมูลในอดีต ปัจจุบัน อนาคต และเหตุการณ์ตรงประเด็นทั้งภายในและภายนอกองค์การ
63. การปรับปรุงพัฒนาวิธีการทำงานและเทคโนโลยีภายในองค์การอยู่ตลอดเวลา คือ
ก. MIS ข. TQM
ค. QC ง. MIC
ตอบ ข. การบริหารคุณภาพโดยรวม (Total Quality Management or TQM) มีแนวความคิดที่จะปรับปรุงพัฒนาวิธีการทำงานและเทคโนโลยีอยู่ตลอดเวลา โดยใช้ความร่วมมือของพนักงานเป็นหลัก ซึ่งก่อเกิดความรู้ที่เกิดจากการดำเนินการปรับปรุงพัฒนาที่มีอยู่ เกิดการพัฒนาทักษะของพนักงาน การมีส่วนร่วมกันทำงานเป็นหมู่คณะ ตลอดจนการติดต่อสื่อสารที่มุ่งหมายจะแบ่งปันข้อมูลกันใช้อย่างกว้างขวาง
64. “ลูกค้าภายในองค์การ” ตามความหมายของ TQM คือ
ก. ผู้ซื้อสินค้า ข. พนักงานในองค์การ
ค. ผู้ขนส่งสินค้า ง. ข้อ ข. และข้อ ค. ถูก
ตอบ ง. ลูกค้าตามความหมายของ TQM หมายถึง ลูกค้าทั้งภายในและภายนอกองค์การซึ่งซื้อสินค้าหรือใช้บริการของบริษัท ลูกค้าหลักคือ ผู้ที่ซื้อสินค้าหรือใช้บริการ แต่ลูกค้าอื่นที่เกี่ยวข้องก็คือ พนักงานในองค์การ ผู้ขนส่งสินค้าให้กับบริษัท เจ้าหนี้ ลูกหนี้ เป็นต้น
65. ถ้าการปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามวิธีการดำเนินงานมาตรฐานก็หามาตรการแก้ไข อยู่ในหลักการข้อใด
ของ PDCA
ก. Plan ข. Do
ค. Check ง. Act
ตอบ ง. กำหนดมาตรฐานการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่ทำให้ไม่เป็นไปตามแผน A ถ้าการปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามวิธีการดำเนินงานมาตรฐาน ก็หามาตรการแก้ไข ถ้าผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ก็ ค้นหาสาเหตุและแก้ไขที่ต้นตอเพื่อมิให้เกิดปัญหาซ้ำขึ้นอีก ปรับปรุงระบบการทำงาน และเอกสารวิธีการทำงานมาตรฐาน
66. “การคิดค้นกระบวนการทำงานใหม่ทั้งระบบองค์การและนำระบบคอมพิวเตอร์มาปรับใช้กับกระบวนการทำงานใหม่ คือ”
ก. MIS ข. Automation
ค. QC ง. Reengineering
ตอบ ง. Reengineering เป็นการคิดค้นกระบวนการทำงานใหม่ทั้งระบบองค์การและนำระบบคอมพิวเตอร์มาปรับใช้กับกระบวนการทำงานใหม่ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันที ประสิทธิภาพสูง หน่วยงานราชการส่วนใหญ่มักจะเป็นการนำแนวคิด Automation โดยนำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้กับกระบวนการเดิม ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คือ การทำงานรวดเร็วมากขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจากการปรับเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำงานใหม่ ที่ไม่สนใจการทำงานแบบเดิมที่ผ่านมา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและก่อให้เกิดผลงานเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่า เพื่อเพิ่มผลผลิตตลอดเวลา ลดขั้นตอน ลดเอกสาร และลดค่าใช้จ่ายในการทำงาน ซึ่งระบบธุรกิจเอกชนนำมาใช้ปรับปรุงองค์กร ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาและเริ่มต้นนำมาใช้ในระบบราชการ
67. ข้อใดคือ ข้อดี ของสำนักงานไร้กระดาษ (Paperless Office)
ก. ลดจำนวนกระดาษลง ข. ลดงบประมาณ
ค. เรียกเอกสารย้อนหลังได้ ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. ข้อดีของสำนักงานไร้กระดาษ คือ
1) การปฏิบัติงานภายในหน่วยงานมีความสะดวก รวดเร็ว และคล่องตัวขึ้น เพื่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานในภาพรวมของหน่วยงาน
2) ประหยัดทรัพยากรกระดาษและวัสดุอุปกรณ์ นำไปสู่การลดงบประมาณ
3) การจัดการเอกสารของหน่วยงานจะเป็นหมวดหมู่และเรียกใช้เอกสารย้อนหลังและระบบการค้นหาทำได้ง่ายขึ้น
68. ข้อดี ของการมอบอำนาจในการทำงาน คือ
ก. การทำงานมีความคล่องตัว ข. ลดข้อจำกัดการทำงาน
ค. ความเป็นเอกภาพขององค์การ ง. ข้อ ก. และ ข้อ ข. ถูก
ตอบ ง. การมอบอำนาจในการทำงาน (Delegation) ให้แก่เจ้าหน้าที่หรือพนักงานผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งจะช่วยให้การทำงานมีความคล่องตัว สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ลดข้อจำกัดการทำงาน เพิ่มผลผลิตมากขึ้น การทำงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น และเป็นการเพิ่มขวัญกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงาน
69. ใครเป็นผู้คิดค้นวัฎจักรเดมมิ่งเป็นคนแรก คือ
ก. อับราฮัม มาสโลว์ ข. ดร. วอล์ทเตอร์ ชิวฮาร์ท
ค. ดร.
ตอบ ข. บริหารคุณภาพก็คือ การหมุนเวียนวัฏจักร PDCA ซึ่งย่อมาจาก Plan – Do – Check - Act แปลว่า “การวางแผน – ปฏิบัติ – ตรวจสอบ – ปรับปรุง”ซึ่งต้องดำเนินการอย่างมรวินัยให้ครบวงจร หมุนเวียนไม่มีหยุด แนวคิดวัฏจักร นี้ ดร.
70. เครื่องมือที่ใช้เพื่อการบรรลุเป้าหมายของงาน บรรลุเป้าหมายการพัฒนาคน และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาองค์กรไปสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ คือ
ก. KM ข. KPI
ค. OD ง. ICT
ตอบ ก. การจัดการความรู้ หรือที่เรียกย่อๆ ว่า KM (Knowledge Management – KM) คือเครื่องมือ
เพื่อใช้ในการบรรลุเป้าหมายอย่างน้อย 3 ประการไปพร้อมๆ กัน ได้แก่ บรรลุเป้าหมายของงาน บรรลุเป้าหมายการพัฒนาคน และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาองค์กรไปสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้
4. การบริหารงานจัดการทั่วไป (การจัดทำแผนงาน, งบประมาณ, จัดซื้อจัดจ้าง, ควบคุมภายใน และบริหาร ความเสี่ยง การจัดทำแผนงาน
71. แผนปฏิบัติราชการตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 มีกี่ประเภท
ก. 1 ประเภท ข. 2 ประเภท
ค. 3 ประเภท ง. 4 ประเภท
ตอบ ข. แผนปฏิบัติราชการ ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ ดี พ.ศ. 2546 มี 2 ประเภท คือ แผนปฏิบัติราชการ 4 ปี และแผนปฏิบัติราชการประจำปี
72. แผนปฏิบัติราชการ 4 ปี เป็นแผนปฏิบัติราชการที่ส่วนราชการ แปลงมาจาก ........
ก. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ข. แผนการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล
ค. พระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบราชการบริหารแผ่นดิน พ.ศ. 2534
ง. ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ตอบ ข. แผนปฏิบัติราชการ 4 ปี เป็นแผนปฏิบัติราชการที่ส่วนราชการ (กระทรวง/กรม) แปลงมาจาก แผนการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล เพื่อแสดงภารกิจที่ส่วนราชการจะดำเนินการตลอดระยะเวลา 4 ปี เพื่อสนับสนุนการบริหารประเทศของรัฐบาลให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมาย
73. ข้อใดเป็นสาระสำคัญในแผนปฏิบัติราชการ 4 ปี
ก. ประเด็นยุทธศาสตร์ ข. ตัวชี้วัดผลสำเร็จ
ค. ผลผลิต/โครงการสำคัญ ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. สาระสำคัญในแผนปฏิบัติราชการ 4 ปี จะแสดงให้เห็นถึงการแปลงประเด็น ยุทธศาสตร์ และกลยุทธ์หลัก (ระดับชาติ) ที่ส่วนราชการเข้าไปเกี่ยวข้องไปสู่ “ภารกิจ” ที่ส่วนราชการต้องดำเนินการ โดยส่วนราชการต้องนำเสนอประเด็นยุทธศาสตร์ เป้าประสงค์ กลยุทธ์ที่จะทำให้ภารกิจนั้นบรรลุผลสำเร็จพร้อมทั้งกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดผลสำเร็จของภารกิจเหล่านั้น รวมถึงผลผลิต/โครงการสำคัญ ที่ส่วนราชการจะจัดทำ เพื่อขอรับงบประมาณสนับสนุนในระยะเวลา 4 ปี
74. “แผนปฏิบัติราชการประจำปีของส่วนราชการ ที่แสดงให้เห็นถึงภารกิจที่จะดำเนินการในปีใดปีหนึ่งที่กำหนด .....” หมายถึงข้อใด
ก. แผนปฏิบัติราชการ ข. แผนปฏิบัติราชการ 4 ปี
ค. แผนปฏิบัติราชการประจำปี ง. ไม่มีข้อถูก
ตอบ ค. แผนปฏิบัติราชการประจำปี เป็นแผนปฏิบัติราชการประจำปีของส่วนราชการ (กระทรวง/กรม) ที่แสดงให้เห็นถึงภารกิจที่จะดำเนินการในปีใดปีหนึ่งที่กำหนด ภายใต้แผนปฏิบัติราชการ 4 ปีของส่วนราชการนั้น
75. การจัดทำแผนปฏิบัติราชการประจำปีมีประโยชน์อย่างไร
ก. นำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน
ข. เป็นกรอบในการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปี
ค. เพื่อจัดทำรายงานผลการปฏิบัติราชการเมื่อสิ้นปีงบประมาณ
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. แผนปฏิบัติราชการประจำปีมีสาระสำคัญเช่นเดียวกับแผนปฏิบัติราชการ 4 ปี แต่จัดทำเป็นแผน ประจำปีที่ละเอียด และชัดเจนขึ้นเพื่อนำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานและเป็นกรอบในการจัดทำคำ ของบประมาณรายจ่ายประจำปี รวมถึงการรายงานผลการปฏิบัติราชการ เมื่อสิ้นปีงบประมาณ
76. ข้อใด มิใช่ รายละเอียดการจัดทำแผนปฏิบัติราชการประจำปี ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546
ก. สาระสำคัญเกี่ยวกับนโยบายการปฏิบัติราชการของส่วนราชการ
ข. เป้าหมายและผลสัมฤทธิ์ของงาน
ค. แหล่งที่มาของรายรับ
ง. ประมาณการรายจ่ายและรายได้ และทรัพยากรอื่นที่จะต้องใช้
ตอบ ค. ในแต่ละปีงบประมาณ ให้ส่วนราชการจัดทำแผนปฏิบัติราชการประจำปี โดยให้ระบุสาระ เกี่ยวกับนโยบายการปฏิบัติราชการของส่วนราชการ เป้าหมาย และผลสัมฤทธิ์ของงาน รวมทั้งงบประมาณการรายได้และรายจ่าย และทรัพยากรอื่นที่จะต้องใช้เสนอต่อรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบ
77. แผนปฏิบัติราชการประจำปีที่ส่วนราชการจัดทำขึ้นตามข้อ 6 จะต้องนำเสนอต่อใครเพื่อให้ความเห็นชอบ
ก. นายกรัฐมนตรี ข. รัฐมนตรี
ค. ปลัดกระทรวง ง. รัฐมนตรี
ตอบ ข. แผนปฏิบัติราชการประจำปีที่ส่วนราชการจัดทำขึ้นจะต้องใช้เสนอต่อรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบ
78. แผนปฏิบัติราชการ 4 ปีจะต้องจัดทำให้แล้วเสร็จภายในกี่วันนับแต่วันที่แผนการบริหารราชการแผ่นดินประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ก. 30 วัน ข. 45 วัน
ค. 60 วัน ง. 120 วัน
ตอบ ค. ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2547 ข้อ 8 ให้ส่วนราชการต้องจัดทำแผนปฏิบัติราชการตามมาตรา 16 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ภายในกำหนดเวลาดังต่อไปนี้ แผนปฏิบัติราชการ 4 ปี ให้จัดทำให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน นับแต่วันที่แผนการบริหารราชการแผ่นดินประกาศในราชกิจจานุเบกษา
79. แผนปฏิบัติราชการ 4 ปี จะต้องสอดคล้องกับข้อใด
ก. แผนปฏิบัติราชการประจำปี ข. แผนการบริหารราชการแผ่นดิน
ค. คำของบประมาณรายจ่ายประจำปี ง. ข้อ ก. และ ข. ถูก
ตอบ ข. พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ให้ส่วนราชการจัดทำแผนปฏิบัติราชการโดยจัดทำเป็นแผน 4 ปี ซึ่งต้องสอดคล้องกับแผนการบริหารราชการแผ่นดิน ตามมาตรา 13
80. เมื่อรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแผนปฏิบัติราชการแล้ว หน่วยงานใดเป็นผู้จัดสรรงบประมาณเพื่อปฏิบัติตามแผนดังกล่าว
ก. กระทรวงการคลัง ข. รัฐบาล
ค. สำนักงบประมาณ ง. กรมบัญชีกลาง
ตอบ ค. เมื่อรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแผนปฏิบัติราชการของส่วนราชการใดแล้วให้สำนักงบประมาณดำเนินการจัดสรรงบประมาณเพื่อปฏิบัติงานให้บรรลุผลสำเร็จในแต่ละภารกิจตามแผนปฏิบัติราชการดังกล่าว
81. ข้อใดมิใช่สาระสำคัญในแผนปฏิบัติราชการประจำปี
ก. นโยบายในการปฏิบัติราชการของส่วนราชการ
ข. กำหนดเป้าหมายและผลสัมฤทธิ์ของงาน ตัวชี้วัดผลสำเร็จ
ค. พันธกิจของหน่วยงาน
ง. ประมาณการรายได้ รายจ่าย และทรัพยากรอื่นที่ต้องใช้
ตอบ ค. ในแต่ละปีงบประมาณให้จัดทำแผนปฏิบัติราชการประจำปี โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับ
1) นโยบายในการปฏิบัติราชการของส่วนราชการ
2) กำหนดเป้าหมายและผลสัมฤทธิ์ของงาน ตัวชี้วัดผลสำเร็จ
3) ขั้นตอน ระยะเวลา และงบประมาณที่ต้องใช้ในการดำเนินการแต่ละขั้นตอน
4) ประมาณการรายได้ รายจ่าย และทรัพยากรอื่นที่ต้องใช้
82. ส่วนราชการใด ที่กำหนดแนวทางการจัดทำแผนปฏิบัติราชการเพื่อจะขอรับงบประมาณ
ก. สำนักงบประมาณ ข. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
ค. สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ง. ข้อ ก. และ ข. ถูก
ตอบ ง. ในกรณีที่กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณกำหนดให้ส่วนราชการต้องจัดทำแผนปฏิบัติ ราชการตามมาตรา 16 ให้สามารถใช้ได้กับแผนปฏิบัติราชการที่ต้องจัดทำตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการ งบประมาณ ทั้งนี้เพื่อมิให้เพิ่มภาระงานในการจัดทำแผนจนเกินสมควร
83. การโอนงบประมาณจากภารกิจหนึ่งตามที่กำหนดในแผนปฏิบัติราชการไปดำเนินการอย่างอื่น จะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับอนุมัติตามข้อใด
ก. นายกรัฐมนตรี ข. คณะรัฐมนตรี
ค. สภาผู้แทนราษฎร ง. รัฐมนตรี
ตอบ ข. เมื่อมีการกำหนดงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามแผนปฏิบัติราชการของส่วนราชการใดแล้ว การโอนงบประมาณจากภารกิจหนึ่งตามที่กำหนดในแผนปฏิบัติราชการไปดำเนินการอย่างอื่น ซึ่งมีผลทำให้ภารกิจเดิมไม่บรรลุเป้าหมาย หรือนำไปใช้ในภารกิจใหม่ที่มิได้กำหนดในแผนปฏิบัติราชการ จะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ปรับแผนปฏิบัติการให้สอดคล้องแล้ว
84. การแก้ไขแผนปฏิบัติราชการ จะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับอนุมัติจากใคร
ก. นายกรัฐมนตรี ข. คณะรัฐมนตรี
ค. สภาผู้แทนราษฎร ง. รัฐมนตรี
ตอบ ข. เมื่อมีกรณีตามวรรคสอง หรือกรณีที่ส่วนราชการขอแก้ไขแผนปฏิบัติราชการเพราะเหตุตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 18 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 และคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้แก้ไขในกรณีดังกล่าวแล้ว ให้ส่วนราชการที่ได้รับอนุมัติให้แก้ไขแผนปฏิบัติราชการ รีบแจ้งให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดทำแผนการบริหารราชการ แผ่นดิน และแผนนิติบัญญัติดำเนินการแก้ไขให้สอดคล้องกันโดยเร็ว
85. เมื่อส่วนราชการตรวจสอบภารกิจแล้วไม่ตรงกับนโยบายในแผนการบริหารราชการแผ่นดินฯ ต้องทำอย่างไร
ก. ยกเลิกภารกิจ ข. ปรับปรุงภารกิจให้สอดคล้องกับแผนฯ
ค. แก้ไขแผนทั้งหมด ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ก. เมื่อตรวจสอบภารกิจแล้วไม่ตรงกับนโยบายในแผนการบริหารราชการแผ่นดินฯ สมควรยกเลิกและนำเงินในภารกิจที่ยกเลิก ไปใช้ในภารกิจอื่นที่มีความพร้อม แต่ยังขาดเงินงบประมาณที่จะใช้ในการดำเนินการ หรือนำไปใช้ในโครงการที่ริเริ่มใหม่ตามแผนปฏิบัติราชการที่สอดคล้องกับแผนการบริหารราชการแผ่นดินฯ
86. การจัดทำแผนการปฏิบัติราชการต้องกระทำให้ครอบคลุมมิติด้านใด
ก. งานตามยุทธศาสตร์ของรัฐบาล ข. งานตามยุทธศาสตร์ของหน่วยงาน
ค. งานตามยุทธศาสตร์พื้นที่ ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. จัดทำแผนปฏิบัติราชการให้ครอบคลุมทั้ง 3 มิติ คือ มิติตามยุทธศาสตร์เฉพาะของรัฐบาล (Agenda) มิติงานตามยุทธศาสตร์กระทรวงและหน่วยงาน (Function) และมิติงานตามยุทธศาสตร์พื้นที่ (Area)
87. การจัดลำดับความสำคัญของโครงการควรพิจารณาในประเด็นใด
ก. ความพร้อม ข. ความคุ้มค่าที่จะได้รับ
ค. แรงสนับสนุน ง. หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ตอบ ข. การจัดลำดับความสำคัญของโครงการควรพิจารณาในสองประเด็นหลัก คือ ความจำเป็น ความเร่งด่วน และผลที่คาดว่าจะได้รับ (Desirability) หรือความคุ้มค่าที่จะได้รับจากโครงการในมิติต่างๆ เช่น ประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมาย ผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียความจำเป็นตามกฎหมาย และความสอดคล้องกับทิศทางของนโยบายรัฐ ในขณะเดียวกัน ควรพิจารณาถึงความพร้อมในการดำเนินโครงการ/ความเป็นไปได้ (Feasibility) ในการดำเนินโครงการด้วย เช่น ความพร้อมของผู้ดำเนินโครงการและประสบการณ์ในการบริหารโครงการ เป็นต้น
88. เราสามารถขอคำปรึกษาในการจัดทำแผนปฏิบัติราชการกับหน่วยงานในข้อใดได้
ก. กระทรวงการคลัง ข. สำนักนายกรัฐมนตรี
ค. สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ง. กรมบัญชีกลาง
ตอบ ก. ในการจัดทำแผนปฏิบัติราชการ 4 ปี และแผนปฏิบัติราชการประจำปีส่วนราชการ สามารถขอคำปรึกษา แนะนำ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. และกระทรวงการคลัง
89. เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติปรับแผนการบริหารราชการแผ่นดิน หน่วยงานใดมีหน้าที่ต้องแจ้งส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทราบถึงการแก้ไขดังกล่าว
ก. คณะรัฐมนตรี ข. รัฐมนตรี
ค. สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ง. สำนักงบประมาณ
ตอบ ค. ในระหว่างการปฏิบัติตามแผนการบริหารราชการแผ่นดิน ถ้าคณะรัฐมนตรีมีมติให้มีการปรับแผนการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อให้เหมาะสมกับนโยบายของรัฐบาลหรือเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน ตามมาตรา 13 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ดำเนินการแก้ไขแผนการบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี โดยให้นำข้อระเบียบข้อ 5 มาใช้บังคับโดยอนุโลมและให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี แจ้งส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขแผนนิติบัญญัติและแผนปฏิบัติราชการให้สอดคล้องกับแผนการบริหารราชการแผ่นดินที่แก้ไขด้วย
4.2 การจัดทำงบประมาณ
90. “แผนเบ็ดเสร็จ” ซึ่งแสดงออกในรูปตัวเงิน แสดงโครงการดำเนินงานทั้งหมดในระยะหนึ่ง รวมถึง
การกะประมาณการบริหารกิจกรรม โครงการและค่าใช้จ่าย ตลอดจนทรัพยากรที่จำเป็นใน
การสนับสนุน” หมายถึงข้อใด
ก. การจัดทำแผน ข. การควบคุมภายใน
ค. การบริหารความเสี่ยง ง. งบประมาณ
ตอบ ง. ความหมายของงบประมาณ หมายถึง แผนเบ็ดเสร็จ ซึ่งแสดงออกในรูปตัวเงิน แสดงโครงการดำเนินงานทั้งหมดในระยะหนึ่ง รวมถึงการกะประมาณการบริหารกิจกรรม โครงการ และค่าใช้จ่าย ตลอดจนทรัพยากรที่จำเป็นในการสนับสนุน การดำเนินงานให้บรรลุตามแผนนี้ย่อมประกอบด้วย การทำงาน 3 ขั้นตอน คือ (1) การจัดเตรียม (2) การอนุมัติ และ (3) การบริหาร
91. งบประมาณมีความสำคัญและประโยชน์ต่อการบริหารอย่างไร
ก. เป็นเครื่องมือในการพัฒนาหน่วยงาน
ข. เป็นเครื่องมือในการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้มีประสิทธิภาพ
ค. เป็นเครื่องมือกระจายทรัพยากร และเงินงบประมาณที่เป็นธรรม
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. งบประมาณมีความสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อการบริหาร หน่วยงานสามารถนำเอางบประมาณมาใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารหน่วยงานให้เจริญก้าวหน้า ความสำคัญและประโยชน์ของงบประมาณมีดังนี้
1) ใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารหน่วยงาน
2) ให้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาหน่วยงาน
3) เป็นเครื่องมือในการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดให้มีประสิทธิภาพ
4) เป็นเครื่องมือกระจายทรัพยากร และเงินงบประมาณที่เป็นธรรม
5) เป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์งานและผลงานของหน่วยงาน
92. งบประมาณโดยทั่วไปจะมีกำหนดระยะเวลาเท่าใด
ก. 3 เดือน ข. 6 เดือน
ค. 1 ปี ง. 4 ปี
ตอบ ค. ตามปกติงบประมาณที่ดีควรมีระยะเวลาเหมาะสมตามสถานการณ์ ไม่สั้น ไม่ยาวเกินไป โดยทั่วไปจะใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ปี
93. ข้อใดกล่าว ถูกต้อง เกี่ยวกับระยะเวลาของงบประมาณแผ่นดินของราชการ
ก. เริ่มเดือนมกราคมถึงเดือนธันวาคม
ข. เริ่มเดือนเมษายนถึงเดือนมีนาคม ของปีถัดไป
ค. เริ่มเดือนมิถุนายนถึงเดือนพฤษภาคม ของปีถัดไป
ง. เริ่มเดือนตุลาคม ถึงเดือนกันยายน ของปีถัดไป
ตอบ ง. การเริ่มต้นใช้งบประมาณจะเริ่มในเดือนใด ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละหน่วยงาน เช่น งบประมาณแผ่นดิน เริ่มเดือนตุลาคมถึงเดือนกันยายนของปีต่อไป งบประมาณเงินรายได้ของสถานศึกษาใช้ตามปีการศึกษา เป็นต้น
94. ข้อดีของการตั้งงบพิเศษ นอกเหนือจากเงินงบประมาณ คืออะไร
ก. มีโอกาสนำเงินมาใช้จ่ายง่ายเกินไป
ข. ช่วยให้เกิดความสะดวกในการใช้จ่ายบางประเภท
ค. ทำให้การบริหารงบประมาณเป็นไปแบบไม่มีแบบแผนและเป้าหมายที่ชัดเจน
ง. ข้อ ข. และ ค. ถูก
ตอบ ข. ในบางโอกาสก็ยังมีความจำ เป็นที่จะต้องแยกตั้งเงินไว้ต่างหากเป็นเงินพิเศษนอกเหนือจากงบประมาณ เช่น งบกลาง งบราชการลับ ซึ่งถ้ามีจำนวนไม่มากเกินไปก็มักจะไม่เป็นภัย ทั้งยังช่วยให้เกิดความสะดวกบางอย่างด้วย แต่ถ้าการตั้งงบพิเศษมีมากเกินไป จะเกิดผลเสียต่อการบริหารงบประมาณ เพราะจะทำให้เกิด โอกาสแยกเงินมาใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น และยังทำให้การบริหารงบประมาณเป็นไปแบบไม่มีแผนและเป้าหมายที่ชัดเจน
95. ข้อใดมิใช่ กระบวนการดำเนินงานในเรื่องงบประมาณ
ก. การจัดเตรียมงบประมาณ ข. การอนุมัติงบประมาณ
ค. การกำหนดวงเงินงบประมาณ ง. การบริหารงบประมาณ
ตอบ ข. การทำงบประมาณ ผู้ทำงบประมาณต้องเข้าใจกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานจัดเตรียม งบประมาณรายรับ การจัดตั้งงบประมาณรายจ่าย การอนุมัติและบริหารงบประมาณ การรายงานผลการใช้จ่ายงบประมาณซึ่งจะเกี่ยวพันกับทุกหน่วยงาน กระบวนการดำเนินงานในเรื่องงบประมาณทั้งหมดนี้ อาจแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ 1) การจัดเตรียมงบประมาณ 2) การอนุมัติงบประมาณ 3) การบริหารงบประมาณ
96. การกำหนดวงเงินและจัดสรรงบประมาณ จะกระทำได้เมื่อเสร็จจากขั้นตอนใด
ก. ประมาณการรายรับและรายจ่าย ข. กำหนดแนวนโยบายงบประมาณ
ค. รับนโยบายงบประมาณแล้ว ง. จัดทำคำขอตั้งงบประมาณ
ตอบ ค. เมื่อได้รับนโยบายงบประมาณแล้วจะต้องมีการพิจารณา กำหนดวงเงินและจัดสรรวงเงินตาม
แนวนโยบายงบประมาณเป็นขั้นตอนต่อไป
97. คณะกรรมการบริหารงบประมาณและการเงิน จะพิจารณาคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายโดยพิจารณาในเรื่องใด
ก. ความเหมาะสม ความสอดคล้องต่อแผนพัฒนาเศรษฐกิจ
ข. นโยบายงบประมาณ
ค. ความพร้อมของหน่วยงานที่จะปฏิบัติ
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ค. คณะกรรมการบริหารงบประมาณและการเงิน พิจารณา รายละเอียดงบประมาณที่หน่วยงานต่างๆ ทำคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายขึ้นมา โดยพิจารณาด้านความเหมาะสม ความสอดคล้องต่อแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ นโยบายงบประมาณ ความพร้อมของหน่วยงานที่จะปฏิบัติงาน อาจมีการปรับลด
งบประมาณได้ตามความเหมาะสม และแก้ไปปรับปรุงคำของบประมาณทำเป็นเอกสารงบประมาณเสนอต่อคณะกรรมการพิจารณางบประมาณ
98. ข้อใดเป็นอำนาจของคณะกรรมการพิจารณางบประมาณ
ก. พิจารณาร่างงบประมาณรายจ่าย ข. พิจารณาคำขอตั้งงบประมาณรายจ่าย
ค. ปรับลดงบประมาณ ง. แก้ไขปรับปรุงคำของบประมาณ
ตอบ ก. คณะกรรมการพิจารณางบประมาณ พิจารณาร่างงบประมาณรายจ่าย โดยพิจารณารายละเอียดแผนงาน งาน และโครงการต่างๆ ว่าเหมาะสมเพียงใด สมควรอนุมัติหรือไม่
99. “การพิจารณางบประมาณที่หน่วยงานเสนอขึ้นมาโดยผู้มีอำนาจในการอนุมัติงบประมาณ มีอำนาจวิเคราะห์ตัดและแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ แต่ต้องอยู่ในวงเงินงบประมาณที่เสนอมา” หมายถึงข้อใด
ก. การจัดเตรียมงบประมาณ ข. การอนุมัติงบประมาณ
ค. การบริหารงบประมาณ ง. การพิจารณางบประมาณ
ตอบ ข. การอนุมัติงบประมาณ หมายถึง การพิจารณางบประมาณที่หน่วยงานเสนอขึ้นมา โดยผู้มีอำนาจในการอนุมัติงบประมาณ มีอำนาจที่จะวิเคราะห์ตัดและแก้ไขเปลี่ยนแปลงงบประมาณได้ แต่ต้องอยู่ภายในวงเงินงบประมาณที่เสนอมา
100. “การควบคุมการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนงาน งาน และโครงการที่ได้รับอนุมัติงบประมาณเพื่อป้องกันการรั่วไหล โดยการควบคุมการเบิกจ่ายเงิน การตรวจสอบตามระเบียบที่หน่วยงานกำหนด” หมายถึงข้อใด
ก. การจัดเตรียมงบประมาณ ข. การอนุมัติงบประมาณ
ค. การบริหารงบประมาณ ง. การพิจารณางบประมาณ
ตอบ ง. การบริหารงบประมาณ หมายถึง การควบคุมการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนงาน งาน และโครงการที่ได้รับอนุมัติงบประมาณ เพื่อป้องกันการรั่วไหล โดยการควบคุมการเบิกจ่ายเงิน การตรวจสอบตามระเบียบที่หน่วยงานกำหนด
101. ข้อใดเป็นขั้นตอนการบริหารงบประมาณที่ถูกต้อง
ก. การตรวจสอบ-การทำแผน-การใช้งบประมาณตามแผน
ข. การทำแผน-การใช้งบประมาณตามแผน-การตรวจสอบ-การรายงาน
ค. การทำแผน-การตรวจสอบ-การใช้งบประมาณตามแผน-การรายงาน
ง. การตรวจสอบ-การทำแผน-การใช้งบประมาณตามแผน-การรายงาน
ตอบ ข. การบริหารงบประมาณ มีรายละเอียดตามขั้นตอนดังนี้
1) การทำแผนปฏิบัติการ เมื่อหน่วยงานได้รับอนุมัติงบประมาณแล้วให้ทำแผนปฏิบัติการโดยกำหนดกิจกรรมที่จะทำ และจำนวนเงินที่จะใช้ในช่วงเวลาต่างๆ ให้เหมาะสมกับกำลังเงินที่ประมาณการจะได้รับ
2) ดำเนินการใช้งบประมาณตามแผนปฏิบัติการ โดยการขออนุมัติเงินตามระเบียบของหน่วยงาน
3) การตรวจสอบ เมื่อมีการเบิกจ่ายเงินไปแล้ว ต้องมีการตรวจสอบว่าได้ใช้จ่ายเงินไปตามจริงที่เบิกไปหรือไม่ การตรวจสอบจึงเป็นวิธีการสำคัญที่จะควบคุมการบริหารด้านการเงินเป็นไปตามแผนปฏิบัติการไม่รั่วไหล และให้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามระเบียบทางการเงิน
4) การรายงาน เป็นวิธีการหนึ่งในการตรวจสอบและประเมินผล ให้มีการรายงานผลงานที่ได้ปฏิบัติไปแล้วเป็นระยะๆ เพื่อสามารถทบทวนผลการปฏิบัติงานตามแผนปฏิบัติการที่กำหนดไว้ว่ามีความคืบหน้าไปประการใดและจะต้องใช้เป็นผลในการตั้งงบประมาณในปีต่อไปด้วย
102. การรายงานผลงานที่ได้ปฏิบัติไปแล้ว มีความสำคัญอย่างไร
ก. เพื่อทบทวนผลการปฏิบัติงานตามแผนที่กำหนดไว้
ข. ใช้เป็นผลในการตั้งงบประมาณในปีต่อไป
ค. ตรวจสอบการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติ
ง. ข้อ ก และ ข ถูก
ตอบ ง. การรายงาน เป็นวิธีการหนึ่งในการตรวจสอบและประเมินผล ให้มีการรายงานผลงานที่ได้ปฏิบัติไปแล้ว เป็นระยะๆ เพื่อสามารถทบทวนผลการปฏิบัติงานตามแผนปฏิบัติการที่กำหนดไว้ว่ามีความคืบหน้าไปประการใดและจะต้องใช้เป็นผลในการตั้งงบประมาณในปีต่อไปด้วย
103. การประมาณการรายรับ จะใช้วิธีประมาณจากข้อใดเป็นมาตรฐานในการคำนวณ
ก. รายรับของปีปัจจุบัน ข. รายรับของปีที่ล่วงมา
ค. ค่าเฉลี่ยรายรับของ 2 ปีที่ล่วงมา ง. ค่าเฉลี่ยรายรับของ 5 ปีที่ล่วงมา
ตอบ ข. การประมาณการรายรับนั้นหน่วยงานที่รับผิดชอบ จะประมาณการโดยใช้สถิติแนวโน้มประมาณการการรายรับของปีที่ล่วงมาเป็นฐานในการคำนวณ ในขณะที่หน่วยงานอื่นๆ ที่มีรายได้และมีหน้าที่จัดเก็บรายได้ จะต้องแจ้งประมาณการรายรับของตนเองเข้ามาด้วยเพื่อที่จะได้นำ มาพิจารณาเปรียบเทียบกันกับรายการที่ได้ประมาณการไว้แล้วว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร ถ้าหากมีข้อแตกต่างกันมากจะต้องมีการปรึกษาหารือ หาข้อยุติในตัวเลขประมาณการรายรับนั้นๆ เพื่อที่จะสรุปออกมาเป็นประมาณการรายรับทั้งหมดต่อไป
104. การประมาณการรายรับงบประมาณมีกี่วิธี
ก. 1 วิธี ข. 2 วิธี
ค. 3 วิธี ง. 4 วิธี
ตอบ ค. มีวิธีการกำหนดรายรับให้เหมาะสม การประมาณการรายรับงบประมาณ มีวิธีการหลายวิธี ซึ่งพอสรุปได้ 3 รูปแบบ คือ
1) วิธีการประมาณการโดยตรง เป็นวิธีการศึกษาถึงแหล่งรายได้ต่างๆ อย่างละเอียดและหาตัวกำหนดที่มาของรายได้ และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวกำหนด และตัวแปรต่างๆ จนครบทุกตัว แล้วจึงนำมาคำนวณประมาณการรายได้ทั้งหมด
2) วิธีหาค่าเฉลี่ย เป็นการประมาณการโดยหาค่าเฉลี่ยการเพิ่มหรือลดของรายรับจากแหล่งต่างๆ นำมาเฉลี่ยกันซึ่งอาจจะใช้เวลาเฉลี่ยกี่ปีก็ได้ตามที่เห็นเหมาะสม
3) หารายรับของปีที่ผ่านมา เป็นวิธีการนำรายรับจริงของปีที่ผ่านมานำมาคำนวณประมาณการรายรับ ในปัจจุบันซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ไม่ต้องใช้ระบบเทคนิคก้าวหน้าอะไร
105. “วิธีการศึกษาถึงแหล่งรายได้ต่างๆ อย่างละเอียดและหาตัวกำหนดที่มาของรายได้ และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวกำหนดและตัวแปรต่างๆ จนครบทุกตัว แล้วจึงนำมาคำนวณประมาณการรายได้” เป็นวิธีการประมาณการรายได้วิธีใด
ก. วิธีประมาณการโดยตรง ข. วิธีหาค่าเฉลี่ย
ค. การหารายรับจริงของปีที่ผ่านมา ง. ไม่มีข้อถูก
ตอบ ก. วิธีการประมาณการโดยตรง เป็นวิธีการศึกษาถึงแหล่งรายได้ต่างๆ อย่างละเอียด และหาตัวกำหนดที่มาของรายได้ และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวกำหนด และตัวแปรต่างๆ จนครบทุกตัว แล้วจึงนำมาคำนวณประมาณการรายได้ทั้งหมด
106. “วิธีการนำรายรับจริงของปีที่ผ่านมา นำมาคำนวณประมาณการรายรับ” เป็นวิธีการประมาณการรายได้วิธีใด
ก. วิธีประมาณการโดยตรง ข. วิธีหาค่าเฉลี่ย
ค. การหารายรับจริงของปีที่ผ่านมา ง. ไม่มีข้อถูก
ตอบ ค. หารายรับจริงของปีที่ผ่านมา เป็นวิธีการนำรายรับของปีที่ผ่านมานำมาคำนวณประมาณการรายรับในปัจจุบัน ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ไม่ต้องใช้ระบบเทคนิคก้าวหน้าอะไร
107. “การหาค่าเฉลี่ยการเพิ่มหรือลดของรายรับจากแหล่งต่างๆ นำมาเฉลี่ยกัน ซึ่งอาจใช้เวลาเฉลี่ยกี่ปีก็ได้ตามที่เห็นเหมาะสม” เป็นวิธีการประมาณการรายได้วิธีใด
ก. วิธีประมาณการโดยตรง ข. วิธีหาค่าเฉลี่ย
ค. การหารายรับจริงของปีที่ผ่านมา ง. ไม่มีข้อถูก
ตอบ ข. วิธีหาค่าเฉลี่ย เป็นการประมาณการโดยหาค่าเฉลี่ยการเพิ่มหรือลดของรายรับจากแหล่งต่างๆ นำมาเฉลี่ยกัน ซึ่งอาจจะใช้เวลาเฉลี่ยกี่ปีก็ได้ตามที่เห็นเหมาะสม
108. เหตุใด การจัดทำคำของบประมาณรายจ่าย จึงต้องทำให้ใกล้เคียงกับรายจ่ายที่น่าจะเป็นมากที่สุด
ก. งบประมาณมีอยู่จำกัด
ข. ทำให้หน่วยงานอื่นที่มีความพร้อมหมดโอกาสนำเงินจำนวนนั้นไปใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์
ค. ป้องกันการทุจริต
ง. ข้อ ก. และ ข. ถูก
ตอบ ง. จัดทำคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายให้ใกล้เคียงกับรายจ่ายที่น่าจะเป็นจริงมากที่สุด การ จัดทำงบประมาณรายจ่ายที่สูงเกินความเป็นจริงจำนวนมากเป็นสิ่งที่ไม่สมควร เนื่องจากงบประมาณรายรับมีอยู่อย่างจำกัด ทำให้หน่วยงานอื่นที่มีความพร้อมและความสามารถหมด โอกาสที่จะนำเงินจำนวนนั้นไปใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์ การทำงบประมาณรายจ่ายที่เกินความ จริงหรือไม่เพียงพอเป็นเหตุทำให้ต้องมีการขอโอนเงิน หรือแปรเงินเปลี่ยนแปลงงบประมาณ รายจ่าย ทำให้เพิ่มภาระยุ่งยากเสียเวลา และแสดงถึงการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ
4.3 การจัดซื้อจัดจ้าง
109. คณะกรรมการแต่ละคณะต้องประกอบด้วยประธานและกรรมการรวมกันอย่างน้อยกี่คน
ก. 2 คน ข. 3 คน
ค. 4 คน ง. 5 คน
ตอบ ข. คณะกรรมการแต่ละคณะให้ประกอบด้วยประธานกรรมการ 1 คน และกรรมการอย่างน้อย 2 คน โดยปกติให้แต่งตั้งจากข้าราชการตั้งแต่ระดับ 3 หรือเทียบเท่าขึ้นไป ในกรณีจำเป็นหรือเพื่อประโยชน์ของทางราชการจะแต่งตั้งบุคคลที่ไม่ข้าราชการร่วมเป็นกรรมการด้วยก็ได้ ถ้าประธานกรรมการไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้หัวหน้าส่วนราชการแต่งตั้งข้าราชการที่มีคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้นทำหน้าที่ประธานกรรมการแทน
110. ในการจัดซื้อจัดจ้างครั้งเดียวกัน ห้ามแต่งตั้งผู้ที่เป็นกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคาเป็นกรรมการในคณะใด
ก. คณะกรรมการเปิดซองประกวดราคา
ข. คณะกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคา
ค. คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา
ง. คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ
ตอบ ค. ในการซื้อหรือจ้างครั้งเดียวกัน ห้ามแต่งตั้งผู้ที่เป็นกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคา เป็นกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา
111. ในการจัดซื้อจัดจ้างครั้งเดียวกัน ห้ามแต่งตั้งผู้ที่เป็นกรรมการในคณะใด เป็นกรรมการตรวจรับพัสดุ
ก. คณะกรรมการเปิดซองสอบราคา
ข. คณะกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคา
ค. คณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ
ง. คณะกรรมการตรวจการจ้าง
ตอบ ก. ในการซื้อหรือจ้างครั้งเดียวกัน ห้ามแต่งตั้งผู้ที่เป็นกรรมการเปิดซองสอบราคาหรือกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาเป็นกรรมการตรวจรับพัสดุ
112. คณะกรรมการทุกคณะ ควรต้องแต่งตั้งผู้ชำนาญการ หรือผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับพัสดุหรืองานจ้างนั้นๆ เข้าร่วมเป็นกรรมการด้วย ยกเว้นคณะใดที่ไม่จำเป็นต้องแต่งตั้งได้
ก. คณะกรรมการเปิดซองสอบราคา
ข. คณะกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคา
ค. คณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ
ง. คณะกรรมการตรวจการจ้าง
ตอบ ข. คณะกรรมการทุกคณะ เว้นแต่ คณะกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคา ควรแต่งตั้งผู้ชำนาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับพัสดุหรืองานจ้างนั้นๆ เข้าร่วมเป็นกรรมการด้วย
113. ข้อใด มิใช่ หน้าที่ของคณะกรรมการเปิดซองสอบราคา
ก. เปิดซองใบเสนอราคาและอ่านแจ้งราคาของผู้เสนอราคาทุกราย
ข. ตรวจสอบหลักประกันซอง
ค. ตรวจคุณสมบัติของผู้เสนอราคา
ง. คัดเลือกพัสดุหรืองานจ้างของผู้เสนอราคาที่ถูกต้อง
ตอบ ข. คณะกรรมการเปิดซองสอบราคามีหน้าที่ดังนี้
1) เปิดซองใบเสนอราคา และอ่านแจ้งราคาพร้อมบัญชีรายการเอกสารหลักฐานต่างๆ ของผู้เสนอราคาทุกราย โดยเปิดเผย ตามวัน เวลา และสถานที่ที่กำหนด และตรวจสอบรายการเอกสารตามบัญชีของผู้เสนอราคาทุกราย แล้วให้กรรมการทุกคนลงลายมือชื่อกำกับไว้ในใบเสนอราคาและเอกสารประกอบใบเสนอราคาทุกแผ่น
2) ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เสนอราคา ใบเสนอราคา แคตตาล็อก หรือแบบรูปและรายการละเอียด แล้วคัดเลือกผู้เสนอราคาที่ถูกต้องตามเงื่อนไขในเอกสารสอบราคา
3) พิจารณาคัดเลือกพัสดุหรืองานจ้างของผู้เสนอราคาที่ถูกต้องตาม (2) ที่มีคุณภาพและคุณสมบัติเป็นประโยชน์ต่อทางราชการ และเสนอให้ซื้อหรือจ้างจากรายที่คัดเลือกไว้แล้ว ซึ่งเสนอราคาต่ำสุด
114. ข้อใดเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคา
ก. รับซองประกวดราคา ลงทะเบียนรับซองไว้เป็นหลักฐาน
ข. ตรวจสอบหลักประกันซองร่วมกับเจ้าหน้าที่การเงิน
ค. รับเอกสารหลักฐานต่างๆ ตามบัญชีรายการเอกสารของผู้เสนอราคา
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. คณะกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคา มีหน้าที่ดังนี้
1) รับซองประกวดราคา ลงทะเบียนรับซองไว้เป็นหลักฐาน ลงชื่อกำกับซองกับบันทึกไว้ที่
หน้าซองว่าเป็นของผู้ใด
2) ตรวจสอบหลักประกันซองร่วมกับเจ้าหน้าที่การเงินและให้เจ้าหน้าที่การเงินออกใบรับให้แก่ผู้ยื่นซองไว้เป็นหลักฐาน
3) รับเอกสารหลักฐานต่างๆ ตามบัญชีรายการเอกสารของผู้เสนอราคา พร้อมทั้งพัสดุตัวอย่าง แคตตาล็อก หรือแบบรูปและรายการละเอียด (ถ้ามี) หากไม่ถูกต้องให้บันทึกในรายการไว้ด้วย
4) เมื่อพ้นกำหนดเวลารับซองแล้ว ห้ามรับซองประกวดราคาหรือเอกสารหลักฐานต่างๆ ตามเงื่อนไขที่กำหนดในเอกสารประกวดราคาอีก เว้นแต่กรณีตามข้อ 16 (9)
5) เปิดซองใบเสนอราคา และอ่านเจ้งราคาพร้อมบัญชีรายการเอกสารหลักฐานต่างๆ ของผู้เสนอราคาทุกราย โดยเปิดเผยตามเวลาและสถานที่ที่กำหนด และให้กรรมการทุกคนลงลายมือชื่อกำกับไว้ในใบเสนอราคา และเอกสารประกอบใบเสนอราคาทุกแผ่น
6) ส่งมอบใบเสนอราคาทั้งหมด และเอกสารหลักฐานต่างๆ พร้อมด้วยบันทึกรายงานการดำเนินการต่อคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาทันทีในวันเดียวกัน
115. คณะกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคาจะต้องส่งมอบใบเสนอราคาทั้งหมดพร้อมบันทึกรายงานต่อคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาภายในกี่วัน
ก. ภายในวันเดียวกัน ข. ภายใน 3 วัน
ค. ภายใน 7 วัน ง. ภายใน 15 วัน
ตอบ ก. คณะกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคาจะต้องส่งมอบใบเสนอราคาทั้งหมดและเอกสารหลักฐานต่างๆ พร้อมด้วยบันทึกรายการดำเนินการต่อคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาทันทีในวันเดียวกัน
116. การซื้อโดยวิธีพิเศษ ได้แก่ การซื้อครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาเกินเท่าใด
ก. 5,000 บาท ข. 10,000 บาท
ค. 50,000 บาท ง. 100,000 บาท
ตอบ ง. การซื้อโดยวิธีพิเศษ ได้แก่ การซื้อครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาเกิน 100,000 บาท
117. ข้อใด กล่าวผิด เกี่ยวกับการซื้อโดยวิธีพิเศษ
ก. กรณีเป็นพัสดุที่ขายทอดตลาด ให้ดำเนินการซื้อโดยเชิญผู้มีอาชีพขายพัสดุนั้นโดยตรงมาเสนอราคา
ข. กรณีเป็นพัสดุที่ต้องซื้อเร่งด่วน ให้เชิญผู้มีอาชีพขายพัสดุนั้นโดยตรงมาเสนอราคา
ค. กรณีเป็นพัสดุที่ใช้ราชการลับ ให้เชิญผู้มีอาชีพขายพัสดุนั้นโดยตรงมาเสนอราคา
ง. กรณีพัสดุที่เป็นที่ดิน/สิ่งก่อสร้าง ซึ่งจำเป็นต้องซื้อเฉพาะแห่ง ให้เชิญเจ้าของที่ดินโดยตรงมาเสนอราคา
ตอบ ก. การซื้อโดยวิธีพิเศษ ได้แก่ การซื้อครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาเกิน 100,000 บาท ให้หัวหน้าส่วนราชการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษขึ้นเพื่อดำเนินการดังต่อไปนี้
1) ในกรณีเป็นพัสดุจะขายทอดตลาด ให้ดำเนินการซื้อโดยวิธีเจรจาตกลงราคา
2) ในกรณีเป็นพัสดุที่ต้องซื้อเร่งด่วน หากล่าช้าอาจเสียหายแก่ราชการ ให้เชิญผู้มีอาชีพขายพัสดุนั้นโดยตรงมาเสนอราคา หากเห็นว่าราคาที่เสนอนั้นยังสูงกว่าราคาในท้องตลาดหรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควร ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้
3) ในกรณีเป็นพัสดุที่ใช้ราชการลับ ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับ (ข้อ. 2)
4) ในกรณีที่เป็นพัสดุที่ได้ซื้อไว้แล้ว แต่มีความจำเป็นต้องใช้เพิ่มในสถานการณ์ที่จำเป็น หรือเร่งด่วน หรือเพื่อประโยชน์ของส่วนราชการให้เจรจากับผู้ขายรายเดิมตามสัญญาหรือข้อตกลงซึ่งยังไม่สิ้นสุดระยะเวลาการส่งมอบ
5) ในกรณีเป็นพัสดุที่จำเป็นต้องซื้อโดยตรงจากต่างประเทศ ให้เสนอหัวหน้าส่วนราชการเพื่อติดต่อสั่งซื้อโดยตรงจากต่างประเทศ หรือสืบราคาจากต่างประเทศ
6) ในกรณีเป็นพัสดุที่โดยลักษณะของการใช้งานหรือมีข้อจำกัดทางเทคนิคที่จำเป็นต้องระบุยี่ห้อเป็นการเฉพาะ ให้เชิญผู้ผลิตหรือผู้แทนจำหน่ายพัสดุนั้นโดยตรงมาเสนอราคา
7) ในกรณีพัสดุที่เป็นที่ดินและ/หรือสิ่งก่อสร้าง ซึ่งจำเป็นต้องซื้อเฉพาะแห่ง ให้เชิญเจ้าของที่ดินโดยตรงมาเสนอราคา
8) ในกรณีเป็นพัสดุที่ได้ดำเนินการซื้อโดยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผลดี ให้สืบราคาจากผู้มีอาชีพขายพัสดุนั้นโดยตรง และผู้เสนอราคาในการสอบราคาหรือประกวดราคาซึ่งถูกยกเลิกไป (ถ้ามี)
118. กรณีพัสดุที่ได้ดำเนินการซื้อโดยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผลดี จะต้องดำเนินการอย่างไรต่อไป
ก. เชิญผู้มีอาชีพขายพัสดุนั้นโดยตรงมาเสนอราคา
ข. ใช้วิธีเจรจาตกลงราคา
ค. ให้สืบราคาจากผู้มีอาชีพขายพัสดุนั้นโดยตรง
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ค. ในกรณีเป็นพัสดุที่ได้ดำเนินการซื้อโดยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผลดี ให้สืบราคาจากผู้มีอาชีพขายพัสดุนั้นโดยตรง และผู้เสนอราคาในการสอบราคาหรือประกวดราคา ซึ่งถูกยกเลิกไป (ถ้ามี) หากเห็นว่าผู้เสนอราคารายที่เห็นสมควรซื้อ เสนอราคาสูงกว่าราคาในท้องตลาดหรือราคาที่ คณะกรรมการเห็นสมควร ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้
119. การจ้างโดยวิธีพิเศษ ได้แก่ การจ้างครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาเกินเท่าใด
ก. 5,000 บาท ข. 10,000 บาท
ค. 50,000 บาท ง. 100,000 บาท
ตอบ ง. การจ้างโดยวิธีพิเศษ ได้แก่ การจ้างครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาเกิน 100,000 บาท
120. คณะกรรมการตรวจรับพัสดุต้องทำใบตรวจรับกรณีมูลค่าพัสดุตั้งแต่เท่าใดขึ้นไป
ก. 5,000 บาท ข. 10,000 บาท
ค. 50,000 บาท ง. 100,000 บาท
ตอบ ค. เมื่อตรวจถูกต้องครบถ้วนแล้ว รับพัสดุไว้และถือว่าผู้ขายหรือผู้รับจ้างได้ส่งมอบพัสดุถูกต้องครบถ้วนตั้งแต่วันที่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างนำพัสดุนั้นมาส่ง แล้วมอบแก่เจ้าหน้าที่พัสดุ พร้อมกับทำใบตรวจรับ (กรณีมูลค่าพัสดุตั้งแต่ 50,000 บาท) โดยลงชื่อไว้เป็นหลักฐานอย่างน้อยสองฉบับ มอบแก่ผู้ขายหรือผู้รับจ้าง 1 ฉบับ และเจ้าหน้าที่พัสดุ 1 ฉบับ เพื่อดำเนินการเบิกจ่ายเงินตามระเบียบว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินจากคลังและรายงานให้หัวหน้าส่วนราชการทราบ
121. ถ้าผู้ขายส่งมอบพัสดุไม่ถูกต้อง คณะกรรมการตรวจรับพัสดุต้องแจ้งผู้ขายให้ทราบภายในกี่วัน
ก. ภายในวันเดียวกัน ข. ภายใน 3 วัน
ค. ภายใน 15 วัน ง. ภายใน 30 วัน
ตอบ ข. ในกรณีที่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างส่งมอบพัสดุถูกต้องแต่ไม่ครบจำนวนหรือส่งมอบครบจำนวน แต่ไม่ถูกต้องทั้งหมดถ้าสัญญาหรือข้อตกลงมิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ให้ตรวจรับไว้เฉพาะจำนวนที่ถูกต้อง โดยถือปฏิบัติตาม (4) และโดยปกติให้รีบรายงานหัวหน้าส่วนราชการเพื่อแจ้งให้ผู้ขายหรือผู้รับจ้างทราบภายใน 3 วันทำการ นับแต่วันตรวจพบ แต่ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิ์ของส่วนราชการที่จะปรับผู้ขายหรือผู้รับข้างในจำนวนที่ส่งมอบไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้องนั้น
122. คณะกรรมการตรวจการจ้างมีหน้าที่ต้องตรวจสอบรายงานการปฏิบัติงานของผู้รับจ้างตามระยะเวลาใด
ก. ทุกวัน ข. ทุกสัปดาห์
ค. ทุก 15 วัน ง. ทุก 1 เดือน
ตอบ ข. คณะกรรมการตรวจการจ้าง มีหน้าที่ตรวจสอบรายงานการปฏิบัติงานของผู้รับจ้าง และเหตุการณ์แวดล้อมที่ผู้ควบคุมงานรายงาน โดยตรวจสอบกับแบบรูปรายการละเอียด และข้อกำหนดในสัญญาทุกสัปดาห์ รวมทั้งรับทราบหรือพิจารณาการสั่งหยุดงานหรือพักงานของผู้ควบคุมงาน แล้วรายงานหัวหน้าส่วนราชการเพื่อพิจารณาสั่งการต่อไป
123. เมื่อคณะกรรมการตรวจงานจ้าง ตรวจแล้วเห็นว่าเป็นการถูกต้องครบถ้วนแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะต้องทำอย่างไร
ก. ออกใบเสร็จรับเงิน ข. ทำใบรับรองผลการปฏิบัติงาน
ค. ทำใบตรวจรับ ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ข. เมื่อตรวจเห็นว่าเป็นการถูกต้องครบถ้วนไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญาแล้ว ให้ถือว่าผู้รับจ้างส่งมอบงานครบถ้วนตั้งแต่วันที่ผู้รับจ้างส่งงานจ้างนั้น และทำให้ทำใบรับรองผลการปฏิบัติงานทั้งหมดหรือเฉพาะงวดแล้วแต่กรณี โดยลงชื่อไว้เป็นหลักฐานอย่างน้อย 2 ฉบับ มอบให้แก่ผู้รับจ้าง 1 ฉบับ และเจ้าหน้าที่พัสดุ 1 ฉบับ เพื่อทำการเบิกจ่ายเงินตามระเบียบ ว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินจากคลัง และรายงานให้หัวหน้าส่วนราชการทราบ
124. การดำเนินการจ้างที่ปรึกษาสามารถทำได้กี่วิธี
ก. 1 วิธี ข. 2 วิธี
ค. 3 วิธี ง. 4 วิธี
ตอบ ข. การดำเนินการจ้างที่ปรึกษาแต่ละครั้ง ให้หัวหน้าส่วนราชการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น เพื่อปฏิบัติการตามระเบียบนี้ แล้วแต่กรณี คือ
(1) คณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีตกลง
(2) คณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีคัดเลือก
125. คณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษา ประกอบด้วยประธานกรรมการและกรรมการรวมกันอย่างน้อย กี่คน
ก. 2 คน ข. 3 คน
ค. 4 คน ง. 5 คน
ตอบ ง. คณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษา ให้ประกอบด้วย ประธานกรรมการ 1 คน และกรรมการอย่างน้อย 4 คน โดยปกติให้แต่งตั้งจากข้าราชการในสังกัดตั้งแต่ระดับ 6 หรือเทียบเท่าขึ้นไปอย่างน้อย 2 คน ในกรณีจำเป็นหรือเพื่อประโยชน์แก่ทางราชการ ให้แต่งตั้งผู้แทนจากส่วน ราชการอื่น หรือบุคคลที่มิใช่ข้าราชการซึ่งเป็นผู้ชำนาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒิ ในงานที่จะจ้างที่ปรึกษาเป็นกรรมการด้วย และในกรณีการจ้างที่ปรึกษาที่ดำเนินการด้วย เงินกู้ให้มีผู้แทนจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลังด้วย 1 คน
126. การจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีตกลง ให้กระทำได้ในกรณีใด
ก. เป็นการจ้างเพื่อทำงานต่อเนื่องจากงานที่ได้ทำอยู่แล้ว
ข. เป็นการจ้างภาคเอกชน
ค. เป็นการจ้างเฉพาะผู้ว่าจ้างพิเศษ
ง. เป็นการจ้างเฉพาะงานที่เป็นความลับ
ตอบ ก. การจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีตกลง ให้กระทำได้ในกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังต่อไปนี้
1) เป็นการจ้างที่มีค่าจ้างไม่เกิน 100,000 บาท
2) เป็นการเพื่อทำงานต่อเนื่องจากงานที่ได้ทำอยู่แล้ว
3) เป็นการจ้างในกรณีที่ทราบแน่ชัดว่าผู้เชี่ยวชาญในงานที่จะให้บริการตามที่ต้องการมีจำนวนจำกัด ไม่เหมาะสมที่จะดำเนินการด้วยวิธีคัดเลือก และเป็นการจ้างที่มีค่างานจ้างไม่เกิน 2,000,000 บาท
4) เป็นการจ้างส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น หรือหน่วยงานอื่นใดที่มีกฎหมายหรือมติคณะรัฐมนตรีให้การสนับสนุน ให้ดำเนินการจ้างได้โดยตรง
127. “การคัดเลือกที่ปรึกษาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมให้เหลือน้อยราย และเชิญชวนที่ปรึกษาที่ได้รับคัดเลือกยื่นข้อเสนอเพื่อเข้ารับงาน .........” หมายถึงการจ้างโดยวิธีใด
ก. การจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีคัดเลือก
ข. การจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีตกลง
ค. การจ้างโดยวิธีให้ผู้มีอาชีพนั้นๆ โดยตรงมาเสนอราคา
ง. การจ้างโดยวิธีสืบราคา
ตอบ ก. การจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีคัดเลือก ได้แก่ การจ้างที่ปรึกษาโดยการคัดเลือกที่ปรึกษาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะทำงานนั้นให้เหลือน้อยราย และเชิญชวนที่ปรึกษาที่ได้รับการคัดเลือกให้เหลือน้อยรายดังกล่าวยื่นข้อเสนอเข้ารับงานนั้นๆ เพื่อพิจารณาคัดเลือกรายที่ดีที่สุด ในกรณีที่มีเหตุอันสมควรและหัวหน้าส่วนราชการเห็นชอบ ให้เชิญที่ปรึกษาที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ยื่นข้อเสนอเข้ารับงาน โดยไม่ต้องทำการคัดเลือกให้เหลือน้อยรายก่อนก็ได้
4.4 การควบคุมภายใน
128. “ระบบการควบคุมกระบวนการในการปฏิบัติงาน ที่คณะผู้บริหารและบุคลากรในหน่วยงาน ร่วมกันกำหนดขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจในระดับที่สมเหตุสมผลว่าการบริหารและการ ปฏิบัติงานจะบรรลุเป้าหมาย และให้เกิดผลลัพธ์ของการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ........” หมายถึง ข้อใด
ก. การจัดทำแผน ข. การบริหารความเสี่ยง
ค. การจัดทำงบประมาณ ง. การควบคุมภายใน
ตอบ ง. การควบคุมภายใน หมายถึง ระบบการควบคุมกระบวนการในการปฏิบัติงานที่คณะผู้บริหารและบุคลากรในหน่วยงานร่วมกันกำหนดขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจในระดับที่สมเหตุสมผลว่าการบริหารและการ ปฏิบัติงานจะบรรลุเป้าหมาย และให้เกิดผลลัพธ์ของการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ซึ่งครอบคลุมถึงกระบวนการในการจัดการ วิธีการ หรือเครื่องมือต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดองค์กร
129. วัตถุประสงค์ของการควบคุมภายใน คืออะไร
ก. เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ข. เพื่อให้มีข้อมูลและรายงานทางการเงินที่ถูกต้องครบถ้วนและเชื่อถือได้
ค. เพื่อให้บุคลากรมีการปฏิบัติตามนโยบาย กฎหมาย เงื่อนไขสัญญา ข้อตกลง ระเบียบข้อบังคับต่างๆ ของหน่วยงานอย่างถูกต้องและครบถ้วน
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. วัตถุประสงค์ของระบบการควบคุมภายใน มีดังนี้
1) เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ทำให้การใช้ทรัพยากรเป็นไปอย่างประหยัดและคุ้มค่า โดยลดขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ซ้ำซ้อนหรือไม่จำเป็น ลดความเสี่ยงหรือผลเสียหายด้านการเงินหรือด้านอื่นๆ ที่อาจมีขึ้นในหน่วยงาน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานแก่หน่วยงานในที่สุด
2) เพื่อให้มีข้อมูลและรายงานทางการเงินที่ถูกต้องครบถ้วน และเชื่อถือได้ สร้างความมั่นใจแก่ผู้บริหารในการตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารและการปฏิบัติงาน และบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้อง
3) เพื่อให้บุคลากรมีการปฏิบัติตามนโยบาย กฎหมาย เงื่อนไขสัญญา ข้อตกลง ระเบียบข้อบังคับต่างๆ ของหน่วยงานอย่างถูกต้องและครบถ้วน
130. ข้อใด มิใช่ องค์ประกอบของการควบคุมภายใน
ก. สภาพแวดล้อมการควบคุม ข. การประเมินความเสี่ยง
ค. การจัดซื้อจัดจ้าง ง. การติดตามและประเมินผล
ตอบ ค. การควบคุมภายใน มีองค์ประกอบ 5 ส่วน ดังนี้ 1) สภาพแวดล้อมการควบคุม
2) การประเมินความเสี่ยง 3) กิจกรรมการควบคุม 4) สารสนเทศและการสื่อสาร
5) การติดตามและประเมินผล
131. องค์ประกอบข้อใด เป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่จะส่งเสริมองค์ประกอบการควบคุมอื่นๆ
ก. สภาพแวดล้อมการควบคุม ข. การประเมินความเสี่ยง
ค. กิจกรรมการควบคุม ง. การติดตามและประเมินผล
ตอบ ก. สภาพแวดล้อมการควบคุม เป็นองค์ประกอบเกี่ยวกับการสร้างบรรยากาศในหน่วยงาน เพื่อให้บุคลากรในหน่วยงานเกิดจิตสำนึกที่ดีในการปฏิบัติงานตามความรับผิดชอบให้บรรลุวัตถุประสงค์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่จะไปเสริมองค์ประกอบการควบคุมอื่นๆ ต่อไป
132. ข้อใดเป็นสาเหตุของความเสี่ยงที่เกิดจากปัญหาภายใน
ก. กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับของทางราชการ
ข. สภาพการแข่งขัน
ค. จริยธรรม คุณภาพของบุคลากร
ง. การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
ตอบ ข. สาเหตุของความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยภายใน เช่น นโยบายของผู้บริหาร ความซื่อสัตย์ จริยธรรม คุณภาพของบุคลากร การเปลี่ยนแปลงระบบงาน ความเชื่อถือได้ของระบบสารสนเทศ การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารและเจ้าหน้าที่บ่อยครั้ง การควบคุมกำกับดูแลไม่ทั่วถึง การไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับของหน่วยงาน เป็นต้น
133. ข้อใดเป็นสาเหตุของความเสี่ยงที่เกิดจากปัญหาภายนอก
ก. กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับของทางราชการ
ข. นโยบายของผู้บริหาร
ค. จริยธรรม คุณภาพของบุคลากร
ง. การเปลี่ยนแปลงระบบงาน
ตอบ ก. สาเหตุของความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับของทางราชการ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีหรือสภาพการแข่งขัน สภาวะแวดล้อมทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง เป็นต้น
134. “กระบวนการที่ใช้ในการระบุความเสี่ยง การวิเคราะห์ความเสี่ยง และการกำหนดแนวทางการควบคุม เพื่อป้องกันหรือลดความเสี่ยง” หมายถึงข้อใด
ก. การประเมินความเสี่ยง ข. กิจกรรมการควบคุม
ค. สารสนเทศและการสื่อสาร ง. การติดตามและประเมินผล
ตอบ ก. การประเมินความเสี่ยง หมายถึง กระบวนการที่ใช้ในการระบุความเสี่ยง การวิเคราะห์ ความเสี่ยง และการกำหนดแนวทางการควบคุม เพื่อป้องกันหรือลดความเสี่ยง
135. การประเมินความเสี่ยงในหน่วยงานมีความสำคัญอย่างไร
ก. เพื่อให้ทราบเหตุการณ์ของความเสี่ยง
ข. เพื่อจะได้หาทางแก้ไขความเสี่ยง
ค. เพื่อควบคุมให้ความเสี่ยงอยู่ในระดับที่เกิดความเสียหายน้อยที่สุด
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. การประเมินความเสี่ยงในหน่วยงาน จะเป็นการประเมินการปฏิบัติงานในภาพรวมของหน่วยงาน เพื่อให้ทราบเหตุการณ์ของความเสี่ยงและหาทางแก้ไขและควบคุมให้ความเสี่ยงอยู่ในระดับที่เกิดความเสียหายน้อยที่สุด
136. กระบวนการในการประเมินความเสี่ยงมีกี่ขั้นตอน
ก. 2 ขั้นตอน ข. 3 ขั้นตอน
ค. 4 ขั้นตอน ง. 5 ขั้นตอน
ตอบ ค. ประเมินความเสี่ยงและการควบคุมความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่หน่วยงานยอมรับได้ สามารถดำเนินการเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้
1) ศึกษาวัตถุประสงค์และเป้าหมายของหน่วยงาน 2) ระบุปัจจัยเสี่ยง
3) การวิเคราะห์และจัดระดับความเสี่ยง 4) กำหนดวิธีการควบคุมความเสี่ยง
137. ขั้นตอนใดเป็นขั้นตอนแรกของการวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยง
ก. ประเมินความถี่ที่ปัจจัยเสี่ยงจะเกิดขึ้น
ข. ประเมินระดับความสำคัญของปัจจัยเสี่ยง
ค. เลือกใช้เทคนิคการวิเคราะห์ความเสี่ยงที่เหมาะสม
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ข. โดยทั่วไปขั้นตอนการวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงจะเป็นดังนี้
1) ประเมินระดับความสำคัญของปัจจัยเสี่ยง คือ การนำปัจจัยเสี่ยงแต่ละปัจจัยมาพิจารณาถึงความสำคัญว่า หากเกิดขึ้นแล้วมีผลกระทบต่อหน่วยงานมากน้อยแค่ไหน โดยอาจวัดเป็นระดับน้อย ปานกลาง สูง
2) ประเมินความถี่ที่ปัจจัยเสี่ยงจะเกิดขึ้น คือ การพิจารณาว่าปัจจัยเสี่ยงที่ได้เรียงลำดับ ความสำคัญไว้แล้วมีโอกาสที่จะเกิดปัจจัยเสี่ยงนั้น ในระดับน้อยมาก น้อย ปานกลาง สูง
3) เลือกใช้เทคนิคการวิเคราะห์ความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยบางครั้งอาจไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์ในรูปตัวเลข แต่อาจวิเคราะห์ออกมาเป็นระดับต่างๆ เช่น สำคัญมาก ปานกลาง หรือน้อยเป็นต้น
138. การควบคุมในลักษณะใดเป็นการควบคุมโดยที่เหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงยังไม่เกิดขึ้น
ก. การควบคุมในลักษณะการป้องกันการผิดพลาด
ข. การควบคุมในลักษณะของการค้นพบข้อผิดพลาด
ค. การควบคุมในลักษณะการเสนอแนะ
ง. ข้อ ก. และ ข. ถูก
ตอบ ก. การควบคุมในลักษณะการป้องกันการผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในทางปฏิบัติ (Preventive Control) เป็นวิธีการควบคุมที่กำหนดขึ้น เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสี่ยงและข้อผิดพลาดตั้งแต่แรก โดยเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงยังไม่เกิดขึ้น เช่น การแบ่งแยกหน้าที่ผู้รับเงิน ผู้จ่ายเงิน และ ผู้บันทึกบัญชี การกำหนดวงเงินสำหรับผู้มีอำนาจอนุมัติเงินในแต่ละระดับชั้น เป็นต้น
139. การตรวจนับพัสดุประจำปี เป็นการควบคุมในลักษณะใด
ก. การควบคุมในลักษณะการป้องกันการผิดพลาด
ข. การควบคุมในลักษณะของการค้นพบข้อผิดพลาด
ค. การควบคุมในลักษณะการเสนอแนะ
ง. ไม่มีข้อถูก
ตอบ ข. การควบคุมในลักษณะของการค้นพบข้อผิดพลาด (Detective Control) เป็นการควบคุม ที่กำหนดขึ้น เพื่อค้นพบข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในการปฏิบัติงาน เช่น การทำงบกระทบยอดเงินฝากธนาคาร การตรวจนับพัสดุประจำปี การทบทวนการปฏิบัติงานของหน่วยงานในภาพรวม เป็นต้น
140. เครื่องใช้สำนักงาน วัสดุ อุปกรณ์ ควรมีการควบคุมทรัพย์สินตามข้อใด
ก. กำหนดสถานที่เก็บรักษา ข. การจัดทำทะเบียนคุม
ค. การตรวจนับอย่างเป็นระบบ ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. การควบคุมทรัพย์สินที่มีตัวตนและเอกสารหลักฐาน ทรัพย์สินที่มีตัวตน และเอกสารหลักฐาน เช่น เครื่องใช้สำนักงาน วัสดุอุปกรณ์ ครุภัณฑ์ เงินสด และเอกสารสิทธิต่างๆ ควรจัดให้มีการควบคุม เช่น การกำหนดสถานที่เก็บรักษา การเข้าถึงทรัพย์สินนั้นๆ และการจัดให้ทำทะเบียนคุม และการตรวจนับอย่างเป็นระบบ เป็นต้น
141. การควบคุมภายในส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับการแบ่งแยกงาน การควบคุมการรับส่งข้อมูลระหว่างระบบงาน และการควบคุมทางด้านผลผลิต
ก. สภาพแวดล้อมการควบคุม ข. การประเมินความเสี่ยง
ค. สารสนเทศและการสื่อสาร ง. การติดตามและประเมินผล
ตอบ ค. สำหรับการควบคุมภายในของระบบสารสนเทศ โดยทั่วไปมักจะเกี่ยวข้องกับการควบคุมการนำข้อมูลเข้าสู่ระบบ การแบ่งแยกงาน การสอบทานความถูกต้องในการประมวลผล การควบคุมการรับส่งข้อมูลระหว่างระบบงาน และการควบคุมทางด้านผลผลิต เป็นต้น
142. การติดตามประเมินผลจะได้ผลดี ควรมีการปฏิบัติตามข้อใด
ก. ผู้อำนวยการท้องถิ่น ข. ผู้อำนวยการอำเภอ
ค. ผู้อำนวยการจังหวัด ง. ผู้อำนวยการกลาง
ตอบ ข. การติดตามประเมินผลจะได้ผลดี ควรมีการปฏิบัติดังนี้
1) มีการสอบทานและรายงานผลเกี่ยวกับประสิทธิผลของแต่ละองค์ประกอบของการควบคุม
ภายในในทุกๆ ด้านอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นการรายงานจากภายในและจากบุคคลภายนอก
เช่น ผู้ตรวจสอบ ผู้ตรวจราชการ ผู้มาติดต่อโดยเปรียบเทียบกับข้อมูลที่ปฏิบัติงานจริง
2) จำแนกเรื่องที่จะประเมินผล ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการควบคุมภายในเฉพาะจุด เช่น การ
ประเมินประสิทธิภาพภายในหน่วยงาน การประเมินระบบงาน การประเมินการบรรลุตาม
วัตถุประสงค์ การประเมินบุคคล เป็นต้น ซึ่งการประเมินควรพิจารณาขอบเขตและความถี่
ของการประเมินด้วย
3) รายงานผลตามข้อเท็จจริงอย่างเป็นอิสระ ไม่ปิดบังสิ่งผิดปกติ
4) สั่งการให้มีการแก้ไขและติดตามผลอยู่เสมอ
143. ระบบการควบคุมภายในของหน่วยงานจะสำเร็จได้ ต้องมีปัจจัยเกื้อหนุนในข้อใด
ก. ผู้บริหารระดับสูงต้องเป็นผู้ควบคุมเพียงคนเดียว
ข. ต้องให้แรงจูงใจ หรือค่าตอบแทนที่เหมาะสมแก่บุคลากร
ค. มีการประเมินความเสี่ยงและบริหารความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ค. ระบบการควบคุมภายในของหน่วยงานจะสำเร็จได้ ต้องมีปัจจัยเกื้อหนุน ดังนี้
1) ผู้บริหารระดับสูงต้องเป็นผู้ริเริ่ม ในการจัดให้มีระบบการควบคุมภายในขึ้นในหน่วยงาน
และระบบการควบคุมภายในนั้นต้องได้รับการยอมรับในระดับปฏิบัติ
2) มีการประเมินความเสี่ยงและบริหารความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ
3) มีการจัดการเกี่ยวกับทรัพยากรบุคคลอย่างเป็นระบบและเหมาะสม
4) ผู้ปฏิบัติงานทุกระดับมีความซื่อสัตย์ รับผิดชอบในหน้าที่การงาน
144. ระบบการควบคุมภายในของหน่วยงานจะสำเร็จได้ ต้องมีปัจจัยผลักดันข้อใด
ก. หน่วยงานต้องมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน
ข. ต้องเพิ่มขีดความสามารถในด้านต่างๆ
ค. มอบหมายให้มีเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบที่แน่นอนเพียงคนเดียว
ง. ข้อ ก. และ ข. ถูก
ตอบ ง. ปัจจัยที่เป็นแรงผลักดันให้ระบบการควบคุมภายในเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ได้แก่
1) วัตถุประสงค์ (Purpose) หน่วยงานจะต้องมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนว่ากำลังจะทำอะไร
เพื่อให้สามารถกำหนดทิศทางการทำงานและความก้าวหน้าของหน่วยงานได้
2) ข้อตกลงร่วมกัน (Commitment) เจ้าหน้าที่ทุกระดับควรมีการตกลงร่วมกันที่จะปฏิบัติงานตาม
ระบบที่วางไว้ เพื่อบรรลุตามวัตถุประสงค์และเพิ่มคุณค่าแก่หน่วยงาน
3) ความสามารถในการบริหาร (Capability) ผู้บริหารของหน่วยงานคงเพิ่มขีดความสามารถใน
ด้านต่างๆ เช่น การบริหารงบประมาณ การจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ การจัดสรรทรัพยากร
ที่มีอยู่ให้มีการนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น
4) ปฏิบัติการ (Action) เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบต้องลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังและสม่ำเสมอ
5) การเรียนรู้ต่อเนื่อง (Learning) หน่วยงานต้องเสริมสร้างหรือสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ทุกระดับ
ให้มีการศึกษาต่อเนื่อง เพื่อให้มีการเรียนรู้ที่จะพัฒนางานให้ดีขึ้น หรือพัฒนาระบบการควบคุม
ใหม่ๆ ให้กับหน่วยงาน ทั้งนี้ เพื่อให้หน่วยงานมีระบบการควบคุมภายในที่เหมาะสมกับ
สภาพแวดล้อมและปรับเปลี่ยนได้ทันเหตุการณ์
145. เมื่อมีการควบคุมภายในที่ดีแล้ว หน่วยงานจะได้รับประโยชน์อย่างไร
ก. การดำเนินงานของหน่วยงานมีความรวดเร็ว
ข. บุคลากรในหน่วยงานมีความมั่นคงในชีวิตการทำงานขึ้น
ค. การใช้ทรัพยากรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัด คุ้มค่า
ง. ไม่มีการทุจริตในการปฏิบัติงาน
ตอบ ค. ประโยชน์ที่หน่วยงานจะได้รับ จากการมีระบบการควบคุมภายในที่ดี
1) การดำเนินงานของหน่วยงานบรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้อย่างมีประสิทธิภาพ
2) การใช้ทรัพยากรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดและคุ้มค่า
3) มีข้อมูลและรายงานทางการเงินที่ถูกต้อง ครบถ้วน และเชื่อถือได้ สามารถนำไปใช้ใน
การตัดสินใจ
4) การปฏิบัติในหน่วยงานเป็นไปอย่างมีระบบและอยู่ในกรอบของกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับที่วางไว้
5) เป็นเครื่องมือช่วยผู้บริหารในการกำกับดูแลการปฏิบัติงานได้อย่างดียิ่ง
146. ข้อใดเป็นข้อจำกัดของระบบการควบคุมภายใน
ก. เกิดความไม่คล่องตัวในการปฏิบัติงาน
ข. ภาระตกหนักแก่ผู้บริหาร
ค. ต้นทุนค่าใช้จ่ายมากกว่าผลตอบแทนที่ได้รับ
ง. บุคลากรเกิดการต่อต้านการควบคุม
ตอบ ค. ข้อจำกัดของระบบการควบคุมภายใน
1) การตัดสินใจของฝ่ายบริหาร ในบางครั้งแม้ว่ามีระบบการควบคุมภายในที่เหมาะสมแต่
หากฝ่ายบริหารตัดสินใจโดยใช้ดุลยพินิจที่ไม่ถูกต้อง อันเนื่องจากระบบข้อมูลที่มีอยู่ในขณะนั้น หรือเหตุจำเป็นที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ระบบการควบคุมภายในก็ไม่สามารถเป็นเครื่องมือที่จะช่วยในสถานการณ์เช่นนั้น
2) การปฏิบัติงานของบุคลากร การที่บุคลากรละเว้นไม่ปฏิบัติตามวิธีการควบคุมภายในที่วางไว้ ระบบการควบคุมภายในที่มีอยู่ดังกล่าวก็ไม่สามารถเป็นกลไกและเครื่องมือช่วยในการปฏิบัติงานได้
3) เหตุการณ์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุม ระบบการควบคุมภายในที่มีอยู่ อาจไม่สามารถรองรับเหตุการณ์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุม โดยผลสืบเนื่องมาจากปัจจัยภายนอกหรือบางกรณีเกิดเหตุการณ์พิเศษที่มิได้คาดคิดมาก่อน
4) การทุจริตในหน่วยงาน ในบางกรณีบุคลากรในหน่วยงานร่วมมือทุจริตเพื่อหาประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งจะเป็นการทำลายระบบการควบคุมที่กำหนดไว้ได้
5) ต้นทุนค่าใช้จ่ายเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่ได้ บางครั้งผู้บริหารต้องยอมรับในอัตราความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นเมื่อพิจารณาเห็นว่าต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เสียไปในการป้องกันความเสี่ยงมากกว่าผลตอบแทนที่จะได้รับ
4.5 การบริหารความเสี่ยง
147. “โอกาสที่จะเกิดความผิดพลาด ความเสียหาย การรั่วไหล ความสูญเปล่า หรือเหตุการณ์ที่ไม่
พึง ประสงค์ ซึ่งอาจเกิดขึ้นในอนาคตและมีผลกระทบ หรือทำให้การดำเนินงานไม่ประสบ ความสำเร็จตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายขององค์กร” หมายถึงข้อใด
ก. ความเสี่ยง ข. ปัจจัยเสี่ยง
ค. การประเมินความเสี่ยง ง. การบริหารความเสี่ยง
ตอบ ก. ความเสี่ยง หมายถึง โอกาสที่จะเกิดความผิดพลาด ความเสียหาย การรั่วไหล ความสูญเปล่า หรือเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งอาจเกิดขึ้นในอนาคต และมีผลกระทบ หรือทำให้ การดำเนินงานไม่ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายขององค์กร ทั้งในด้านยุทธศาสตร์ การปฏิบัติการการเงิน และการบริหาร ซึ่งอาจเป็นผลกระทบทางบวกด้วยก็ได้ โดยวัดจากผลกระทบทางบวกด้วยก็ได้ โดยวัดจากผลกระทบ (Impact) ที่ได้รับ และโอกาสที่จะเกิด (Likelihood) ของเหตุการณ์
148. ความเสี่ยงมีกี่ลักษณะ
ก. 2 ลักษณะ ข. 3 ลักษณะ
ค. 4 ลักษณะ ง. 5 ลักษณะ
ตอบ ค. ความเสี่ยงจำแนกได้เป็น 4 ลักษณะ ดังนี้ Strategic Risk ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องในระดับยุทธศาสตร์ Operational Risk ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องในระดับปฏิบัติการ Financial Risk ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับด้านการเงิน Hazard Risk ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องในด้านความปลอดภัย จากอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน
149. “ต้นเหตุหรือสาเหตุที่มาของความเสี่ยง ที่จะทำให้ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ...” หมายถึง ข้อใด
ก. ความเสี่ยง ข. ปัจจัยเสี่ยง
ค. การประเมินความเสี่ยง ง. การบริหารความเสี่ยง
ตอบ ข. ปัจจัยเสี่ยง (Risk Factor) หมายถึง ต้นเหตุหรือสาเหตุที่มาของความเสี่ยง ที่จะทำให้ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ โดยต้องระบุได้ด้วยว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดที่ไหน เมื่อใด และเกิดขึ้นได้อย่างไร และทำไม ทั้งนี้สาเหตุของความเสี่ยงที่ระบุควรเป็นสาเหตุที่แท้จริง เพื่อจะได้วิเคราะห์และกำหนดมาตรการลดความเสี่ยงในภายหลังได้อย่างถูกต้อง
150. “กระบวนการที่ใช้ในการบริหารจัดการ ให้โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ความเสี่ยงลดลงหรือผลกระทบของความเสียหายจากเหตุการณ์ความเสี่ยงลดลงอยู่ในระดับที่องค์กรยอมรับได้” หมายถึงข้อใด
ก. ความเสี่ยง ข. ปัจจัยเสี่ยง
ค. การประเมินความเสี่ยง ง. การบริหารความเสี่ยง
ตอบ ง. การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) หมายถึง กระบวนการที่ใช้ในการบริหารจัดการ ให้โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ความเสี่ยงลดลง หรือผลกระทบของความเสียหายจากเหตุการณ์ความเสี่ยงลดลงอยู่ในระดับที่องค์กรยอมรับได้
151. ข้อใด มิใช่ วิธีการจัดการความเสี่ยงที่องค์กรนิยมใช้
ก. การยอมรับความเสี่ยง ข. การลด/การควบคุมความเสี่ยง
ค. การกระจายความเสี่ยง ง. การต่อต้านความเสี่ยง
ตอบ ง. การจัดการความเสี่ยงมีหลายวิธี ดังนี้
1) การยอมรับความเสี่ยง (Risk Acceptance) เป็นการยอมรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นเนื่องจากไม่คุ้มค่าในการจัดการควบคุมหรือป้องกันความเสี่ยง
2) การลด/การควบคุมความเสี่ยง (Risk Reduction) เป็นการปรับปรุงระบบการทำงานหรือ การออกแบบวิธีการทำงานใหม่ เพื่อลดโอกาสที่จะเกิด หรือลดผลกระทบ ให้อยู่ในระดับที่องค์กรยอมรับได้
3) การกระจายความเสี่ยง หรือการโอนความเสี่ยง (Risk Sharing) เป็นการกระจายหรือถ่ายโอนความเสี่ยงให้ผู้อื่นช่วยแบ่งความรับผิดชอบไป
4) การหลีกเลี่ยงความเสี่ยง (Risk Avoidance) เป็นการจัดการความเสี่ยงที่อยู่ในระดับสูง และหน่วยงานไม่อาจยอมรับได้ จึงต้องตัดสินใจยกเลิกโครงการ/กิจกรรมนั้นไป
152. ข้อใดเป็นขั้นตอนแรกของแนวทางการบริหารความเสี่ยง
ก. การประเมินความเสี่ยง ข. การระบุความเสี่ยง
ค. การกำหนดวัตถุประสงค์ ง. การรายงานผล
ตอบ ค. กระบวนการและขั้นตอนการบริหารความเสี่ยงประกอบด้วย 7 ขั้นตอน ดังนี้
1) การกำหนดวัตถุประสงค์ 2) การระบุความเสี่ยง
3) การประเมินความเสี่ยง 4) การประเมินมาตรการการควบคุม
5) การบริหาร/การจัดการความเสี่ยง 6) การรายงาน
7) การติดตามและทบทวน
153. สาเหตุของความเสี่ยงเกิดจากอะไร
ก. ความรู้ความสามารถของบุคลากร ข. ความกดดันจากฝ่ายบริหาร
ค. บรรยากาศทางจริยธรรม ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. ตัวอย่าง ปัจจัยเสี่ยง/ต้นเหตุ/สาเหตุของความเสี่ยง
* บรรยากาศทางจริยธรรม * ความกดดันจากฝ่ายบริหาร
* ความรู้ ความสามารถของบุคลากร * ราคา/มูลค่าของทรัพย์สิน ฯลฯ
154. สภาพแวดล้อมภายนอกหน่วยงานที่ใช้ในการระบุความเสี่ยง คือ ข้อใด
ก. รูปแบบการบริหารสั่งการ
ข. นโยบายของภาครัฐ
ค. โครงสร้างองค์กร
ง. การมอบหมายอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบ
ตอบ ข. การระบุความเสี่ยง เป็นกระบวนการที่ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงาน ร่วมกันระบุความเสี่ยงและปัจจัยความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ โครงการ/กิจกรรม เพื่อให้ทราบถึงเหตุการณ์ที่เป็นความเสี่ยง ที่อาจมีผลกระทบต่อการบรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ โดยต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมภายนอกหน่วยงานและกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงาน เช่น นโยบายภาครัฐ กฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ
155. ข้อใด ไม่ใช่ สภาพแวดล้อมภายในที่ใช้ในการระบุความเสี่ยง
ก. กฎหมาย
ข. รูปแบบการบริหารสั่งการ
ค. โครงสร้างองค์กร
ง. การมอบหมายอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบ
ตอบ ก. การระบุความเสี่ยงเป็นกระบวนการที่ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงาน ร่วมกันระบุความเสี่ยงและปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ โครงการ/กิจกรรม เพื่อให้ทราบถึงเหตุการณ์ที่เป็นความเสี่ยงที่อาจมีผลกระทบต่อการบรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ โดยต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมภายในหน่วยงานและกระทรวงมหาดไทย เช่น รูปแบบ การบริหารสั่งการ การมอบหมายอำนาจ หน้าที่ความรับผิดชอบ โครงสร้างองค์กร ระเบียบข้อบังคับภายใน
156. การระบุความเสี่ยงวิธีใด จะทำให้ได้ความเสี่ยงที่หลากหลาย
ก. การระบุความเสี่ยงโดยการรวมกลุ่มระดมสมอง
ข. การระบุความเสี่ยงโดยการใช้ checklist
ค. การะบุความเสี่ยงโดยการวิเคราะห์สถานการณ์จากการตั้งคำถาม
ง. การระบุความเสี่ยงโดยการวิเคราะห์ขั้นตอนการปฏิบัติงาน
ตอบ ก. วิธีการและเทคนิคในการระบุความเสี่ยง มีหลายวิธีซึ่งแต่ละหน่วยงานอาจเลือกใช้ได้ ตามความเหมาะสม
157. ในกรณีที่มีข้อจำกัดด้านงบประมาณและทรัพยากร เราจะใช้วิธีระบุความเสี่ยงตามข้อใด
ก. การระบุความเสี่ยงโดยการรวมกลุ่มระดมสมอง
ข. การระบุความเสี่ยงโดยการใช้ checklist
ค. การระบุความเสี่ยงโดยการวิเคราะห์สถานการณ์จากการตั้งคำถาม
ง. การระบุความเสี่ยงโดยการวิเคราะห์ขั้นตอนการปฏิบัติงาน
ตอบ ข. การระบุความเสี่ยงโดยการใช้ checklist ในกรณีที่มีข้อจำกัดด้านงบประมาณและทรัพยากร
158. “การวิเคราะห์และจัดลำดับความเสี่ยง โดยพิจารณาจากการประเมินโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยง และความรุนแรงของผลกระทบจากเหตุการณ์ความเสี่ยง โดยอาศัยเกณฑ์มาตรฐานที่ได้กำหนดไว้” หมายถึงข้อใด
ก. การประเมินความเสี่ยง ข. การระบุความเสี่ยง
ค. การกำหนดวัตถุประสงค์ ง. การรายงานผล
ตอบ ก. การประเมินความเสี่ยง เป็นการวิเคราะห์ และจัดลำดับความเสี่ยง โดยพิจารณาจากการประเมินโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยง (Likelihood) และความรุนแรงของผลกระทบจากเหตุการณ์ความเสี่ยง (Impact) โดยอาศัยเกณฑ์มาตรฐานที่ได้กำหนดไว้ ทำให้การตัดสินใจจัดการกับความเสี่ยงเป็นไปอย่างเหมาะสม
159. ขั้นตอนแรกของการประเมินความเสี่ยงคือข้อใด
ก. การจัดลำดับความเสี่ยง
ข. การวิเคราะห์ความเสี่ยง
ค. การประเมินโอกาสและผลกระทบของความเสี่ยง
ง. การกำหนดเกณฑ์การประเมินมาตรฐาน
ตอบ ง. การประเมินความเสี่ยงเป็นกระบวนการที่ประกอบด้วย การวิเคราะห์ การประเมิน และ การจัดระดับความเสี่ยง ที่มีผลกระทบต่อการบรรลุวัตถุประสงค์ของกระบวนการทำงานของหน่วยงานหรือขององค์กรซึ่งประกอบด้วย 4 ขั้นตอนคือ 1) การกำหนดเกณฑ์การประเมินมาตรฐาน 2) การประเมิน โอกาสและผลกระทบของความเสี่ยง 3) การวิเคราะห์ความเสี่ยง 4) การจัดลำดับความเสี่ยง
160. หน่วยงานที่มีข้อมูลเป็นตัวเลขหรือจำนวนเงิน ควรกำหนดเกณฑ์การประเมินมาตรฐาน เกณฑ์ ตามข้อใดมาใช้จึงจะเหมาะสมที่สุด
ก. เกณฑ์ในเชิงคุณภาพ ข. เกณฑ์ในเชิงปริมาณ
ค. เกณฑ์ความต้องการ ง. ข้อ ก. และ ข. ถูก
ตอบ ข. การกำหนดเกณฑ์การประเมินมาตรฐาน เป็นการกำหนดเกณฑ์ที่จะใช้ในการประเมินความเสี่ยง ได้แก่ ระดับโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยง ระดับความรุนแรงของผลกระทบ และระดับของความเสี่ยง โดยแต่ละหน่วยงานจะต้องกำหนดเกณฑ์ของหน่วยงานขึ้น ซึ่งสามารถกำหนดเกณฑ์ได้ทั้งเกณฑ์ในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อมูลสภาพแวดล้อมในหน่วยงานและดุลยพินิจ การตัดสินใจของฝ่ายบริหารของหน่วยงาน โดยเกณฑ์ในเชิงปริมาณจะเหมาะกับหน่วยงานที่มีข้อมูลตัวเลขหรือจำนวนเงินมาใช้ในการวิเคราะห์อย่างพอเพียง สำหรับหน่วยงานที่มีข้อมูลเชิงพรรณนาไม่สามารถระบุเป็นตัวเลขหรือจำนวนเงินที่ชัดเจนได้ ก็ให้กำหนดเกณฑ์ในเชิงคุณภาพ
161. การวิเคราะห์ความเสี่ยง สามารถทำได้ตามข้อใด
ก. พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยงและผลกระทบของความเสี่ยง
ข. จัดลำดับความสำคัญของความเสี่ยงจากระดับสูงถึงระดับน้อย
ค. พิจารณาจากการประเมินโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยงและความรุนแรงของผลกระทบจาก
เหตุการณ์ความเสี่ยง
ง. ไม่มีข้อถูก
ตอบ ก. การวิเคราะห์ความเสี่ยง เมื่อหน่วยงานพิจารณาโอกาส/ความถี่ที่จะเกิดเหตุการณ์และความรุนแรงของผลกระทบของแต่ละปัจจัยความเสี่ยงแล้ว ให้นำผลที่ได้มาพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยง และผลกระทบของความเสี่ยงต่อกิจกรรม/ภารกิจของหน่วยงาน ว่าก่อให้เกิดระดับของความเสี่ยงในระดับใดในตารางระดับความเสี่ยง ซึ่งจะทำให้หน่วยงานทราบว่ามีความเสี่ยงใดเป็นความเสี่ยงสูงสุดที่จะต้องบริหารจัดการก่อน
162. เหตุใดจึงจะต้องมีการประเมินมาตรการการควบคุม
ก. เพื่อทราบว่าจะสามารถช่วยควบคุมความเสี่ยงได้อย่างเพียงพอหรือไม่
ข. เพื่อทราบว่าเกิดประสิทธิผลหรือไม่
ค. เพื่อทราบว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการควบคุมเพียงใด
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. การประเมินมาตรการการควบคุม เป็นการประเมินกิจกรรมการควบคุมที่ควรจะมีหรือมีอยู่แล้ว ว่าสามารถช่วยควบคุมความเสี่ยง หรือปัจจัยเสี่ยงได้อย่างเพียงพอหรือไม่ หรือเกิดประสิทธิผล ตามวัตถุประสงค์ของการควบคุมเพียงใด เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะสามารถควบคุมความเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อการบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
163. การจัดเตรียมเครื่องมือดับเพลิงไว้เป็นการควบคุมประเภทใด
ก. การควบคุมเพื่อการป้องกัน ข. การควบคุมเพื่อให้ตรวจพบ
ค. การควบคุมเพื่อการแก้ไข ง. การควบคุมโดยการชี้แนะ
ตอบ ค. การควบคุมเพื่อการแก้ไข (Corrective Control) เป็นวิธีการควบคุมเพื่อกำหนดขึ้นเพื่อ แก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นให้ถูกต้อง หรือเพื่อหาวิธีการแก้ไขไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดซ้ำอีกในอนาคต เช่น การจัดเตรียมเครื่องมือดับเพลิงเพื่อช่วยลดความรุนแรงของความเสียหายให้น้อยลงหากเกิดเพลิงไหม้ เป็นต้น
164. การให้รางวัลแก่ผู้มีผลงานดี เป็นการควบคุมประเภทใด
ก. การควบคุมเพื่อการป้องกัน ข. การควบคุมเพื่อให้ตรวจพบ
ค. การควบคุมเพื่อการแก้ไข ง. การควบคุมโดยการชี้แนะ
ตอบ ง. การควบคุมโดยการชี้แนะ (Directive Control) เป็นวิธีการควบคุมที่ส่งเสริมหรือกระตุ้นให้เกิดความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ เช่น การให้รางวัลแก่ผู้มีผลงานดี เป็นต้น
165. “การนำกลยุทธ์ มาตรการ หรือแผนงานมาใช้ปฏิบัติในหน่วยงานเพื่อลดโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยง...” หมายถึงข้อใด
ก. การบริหาร จัดการความเสี่ยง ข. การประเมินระดับความเสี่ยง
ค. การวิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุความเสี่ยง ง. การรองรับและควบคุมความเสี่ยง
คำตอบ ก. การบริหาร / จัดการความเสี่ยง เป็นการนำกลยุทธ์ มาตรการ หรือแผนงานมาใช้ปฏิบัติในสำนัก / ศูนย์ / กอง / หน่วยงานระดับกอง เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยง หรือลดความเสียหายของผลกระทบในการดำเนินงานตามแผนงาน / งาน / โครงการ / กิจกรรม ที่ยังไม่มีกิจกรรมควบคุมความเสี่ยง หรือที่มีอยู่แต่ยังไม่เพียงพอ
5. จรรยาบรรณในวิชาชีพ
166. จรรยาบรรณ คือ
ก. สภาพคุณงามความดีทั้งที่อยู่ภายในจิตใจและที่แสดงออกมา
ข. การเคารพในความจริง
ค. กระบวนความประพฤติที่กำหนดขึ้นเพื่อให้สมาชิกในสังคมยึดถือ
ง. ไม่มีข้อถูก
คำตอบ ค. จรรยาบรรณ (Code of conduct) คือ กระบวนความ ประพฤติที่ผู้ประกอบอาชีพการงาน แต่ละอย่าง กำหนดขึ้นเพื่อให้สมาชิกในกลุ่มหรือในสังคมนั้นยึดถือ เพื่อรักษาและส่งเสริมเกียรติคุณ ชื่อเสียง และฐานะของสมาชิก โดยอาจเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ก็ได้
167. สภาพของคุณงามความดีที่สะท้อนออกมาจากนิสัยที่มีอยู่เป็นประจำของแต่ละบุคคลเรียกว่า
ก. คุณธรรม ข. จริยธรรม
ค. จรรยาบรรณ ง. ศีลธรรม
คำตอบ ก. คุณธรรม (Virtue) คือ สภาพของคุณงามความดีที่สะท้อนออกมาจากนิสัยที่มีอยู่เป็นประจำของแต่ละบุคคล ซึ่งปรากฏให้เห็นเป็นบุคลิกลักษณะ (Character) ของผู้นั้น
168. ข้อใดมิใช่ หลักจรรยาบรรณของพนักงาน
ก. จิตมุ่งบริการ ข. ซื่อสัตย์สุจริต
ค. พัฒนาตน ง. ตรงต่อเวลา
คำตอบ ง. หลักที่พนักงานควรยึดถือในการปฏิบัติตามจรรยาบรรณ คือ
1. ซื่อสัตย์สุจริต 2. จิตมุ่งริการ 3. งานสัมฤทธิ์ผล
4. พัฒนาตน 5. ทุกคนตรวจสอบได้
169. จรรยาบรรณของการประปานครหลวงได้ถือปฏิบัติมาตั้งแต่ปีใด
ก. พ.ศ. 2540 ข. พ.ศ. 2541
ค. พ.ศ. 2542 ง. พ.ศ. 2543
คำตอบ ง. จรรยาบรรณของ กปน. ได้ถือปฏิบัติมาตั้งแต่ปี 2543 ซึ่งตามหลักการดังกล่าวข้างต้นกำหนดให้มีการทบทวนจรรยาบรรณขององค์กรเป็นประจำ ประกอบกับสถานการณ์ต่างๆ ภายนอกได้เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงได้นำจรรยาบรรณฉบับล่าสุดปี 2549 มาปรับปรุงเพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติ โดยให้ผู้บังคับบัญชามีหน้าที่ในการสอดส่องดูแลและสนับสนุนให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทุกระดับได้ปฏิบัติตามจรรยาบรรณที่กำหนดโดยเคร่งครัด หากปรากฏว่ามีการละเว้นให้พิจารณาโทษทางวินัยด้วย
170. ข้อใดมิใช่ จรรยาบรรณขององค์กร
ก. ความรับผิอดชอบต่อรัฐบาล ข. ความรับผิดชอบต่อกฎหมาย
ค. ความรับผิดชอบต่อลูกค้า ง. ความรับผิดชอบต่อพนักงาน
คำตอบ ข. จรรยาบรรณขององค์กร ได้แก่ ความรับผิดชอบต่อรัฐบาล ความรับผิดชอบต่อลูกค้า ความรับผิดชอบต่อคู่ค้าและหรือเจ้าหนี้ ความรับผิดชอบต่อพนักงานและความรับผิดชอบต่อสังคม
171. จรรยาบรรณขององค์กรในด้านความรับผิดชอบต่อพนักงานมีกี่ประการ
ก. 3 ประการ ข. 4 ประการ
ค. 5 ประการ ง. 6 ประการ
คำตอบ ค. ความรับผิดชอบต่อพนักงาน
1. ให้ผลตอบแทนและสวัสดิการที่เป็นธรรมแก่พนักงาน มีกฎระเบียบให้พนักงานถือปฏิบัติอย่างชัดเจน
2. ดูแลสภาพแวดล้อมในการทำงานให้มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพนักงาน อยู่เสมอ
3. ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาความรู้ความสามารถของพนักงาน
4. บริหารงานโดยหลีกเลี่ยงการกระทำใดๆ ที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงในหน้าที่การงานของพนักงาน
5. ให้พนักงานถือปฏิบัติในเรื่องจรรยาบรรณของพนักงานโดยเคร่งครัด
172. “วางท่อประปาขยายบริการให้ประชาชนมีน้ำประปาใช้อย่างทั่วถึง” เป็นจรรยาบรรณขององค์กรตามข้อใด
ก. ความรับผิดชอบต่อรัฐบาล ข. ความรับผิดชอบต่อพนักงาน
ค. ความรับผิดชอบต่อลูกค้า ง. ความรับผิดชอบต่อสังคม
คำตอบ ค. วางท่อประปาขยายบริการให้ประชาชนมีน้ำประปาใช้อย่างทั่วถึงเป็นจรรยาบรรณขององค์กรในเรื่องความรับผิดชอบต่อลูกค้า
173. นายแดง เป็นช่างฝึกหัดในอู่ซ่อมรถยนต์แห่งหนึ่ง ได้เรียนรู้ขั้นตอนการทำงานจากช่างอาวุโสเป็นเวลานานหลายปี จนเกิดความชำนาญและสามารถทำได้ดีไม่แพ้กัน ถือว่าเป็น “ปัญญา” ประเภทใด
ก. จินตามยปัญญา ข. สุตมยปัญญา
ค. ปุจฉามยปัญญษ ง. ภาวนามยปัญญา
คำตอบ ง. ภาวนามยปัญญา คือ ปัญญาหรือความรู้ที่เกิดจากการปฏิบัติ
174. ข้อใดกล่าวถูกต้อง เกี่ยวกับผู้บริหารของ กปน.
ก. เป็นผู้มีส่วนได้เสียในธุรกิจที่เป็นการแข่งขันกับกิจการของ กปน. ทางอ้อมได้
ข. เป็นประธานกรรมการในบริษัทจำกัดที่ กปน. เป็นผู้ถือหุ้นได้
ค. เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจำกัดที่ดำเนินธุรกิจแข่งขันกับกิจการของ กปน. ได้
ง. ถูกทุกข้อ
คำตอบ ค. ผู้บริหารของ กปน. จะต้องไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัญญากับ กปน. หรือในกิจการที่กระทำให้แก่ กปน. หรือดำเนินธุรกิจที่เป็นการแข่งขันกับกิจการของ กปน. ไม่ว่าทั้งทางตรงหรือทางอ้อม เว้นแต่เป็นเพียงผู้ถือหุ้นเพื่อประโยชน์ในการลงทุนโดยสุจริตในบริษัทจำกัดที่กระทำการอันมีส่วนได้เสียเช่นว่านั้น หรือเป็นผู้ซึ่งคณะกรรมการ กปน. มอบหมายให้เป็นประธานกรรมการหรือกรรมการในบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด ที่ กปน. เป็นผู้ถือหุ้น